มุมมองส่วนตัวของผมคิดว่าการที่มีงานใหญ่ระดับจังหวัดถึงสองงาน แม้จะทำให้จังหวัดสุราษฎร์มีบรรยากาศที่คึกคักมากขึ้นก็ตาม แต่อย่ามองข้ามความสมดุลบางอย่างไป สิ่งที่ว่านี้คือ ปริมาณผู้คน
งานช้างสองงานที่ชนแทบจะประสานงากันนั้น ผมว่ามันน่าจะทำให้เกิดปรากฏการณ์แบ่งแย่งส่วนแบ่งของผู้คนเป็นสองส่วน ผลเสียที่เกิดขึ้นน่าจะตกอยู่กับพ่อค้าแม่ขายเต็มๆ เพราะด้วยปริมาณคนซื้อที่ถูกแบ่งครึ่งในแต่ละวัน ทำให้บรรยากาศภายในแต่ละงานนั้นจำนวนคนขายเริ่มจะแซงจำนวนคนซื้อ และช่วงนี้ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นพ่อค้าแม่ค้าหน้าใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายมากมายรวมถึงตัวผมด้วย
ข้อมูลเหล่านี้ผมก็เก็บมานั่งใคร่ครวญดู มันทำให้รู้ว่าตอนนี้คนรู้สึกเบื่อกับการเดินช้อปปิ้ง หากพวกเขาจะไปเดินเที่ยวงาน สวนใหญ่จะพุ่งไปที่จุดขายของงานคือ จับสลากกาชาด หรือไม่ก็ทำบุญไหว้พระกันไปเลย ทีนี้ทำเลที่คนน่าจะพลุกพ่านที่สุดคือ ทำเลที่อยู่ใกล้กับจุดไคลแมกซ์ของงานนั้นๆ นี่คือบทวิเคราะห์มั่วๆ ของผมนะครับ อย่าเชื่อเสียทีเดียว เดี๋ยวจะเจ๋งไม่เป็นท่า เหอๆๆๆๆ
จากปฏิทินที่เห็น วันที่ที่คาบเกี่ยวกันคือ 6-11 ที่จะทับซ้อนงานทั้งสองงาน แต่โดยความเป็นจริงแล้ว งานหลวงพ่อพัฒน์นั้น เริ่มตั้งแผงขายของกันตั้งแต่วันที่ 1 เสียด้วยซ้ำ เพราะผมได้เดินทางไปลงพื้นที่อย่างละเอียดยิบ ฉะนั้นการตัดสินใจที่ผมจะทำคือ ลองขายงานกาชาดดูสักวันนึงก่อน ถ้าเห็นว่าไปไม่สวยค่อยย้ายด่วนมาขายที่งานหลวงพ่อพัฒน์
หากจะให้คะแนนในส่วนนี้ผมให้คะแนนงานวัดที่ดูมีภาษีกว่า เพราะงานบุญนั้น ใครๆก็สามารถจะมาทำบุญ ปิดทองได้ตั้งแต่เช้าจรดมืดค่ำ เรียกว่ามาได้ทั้งวัน แต่ถ้าเป็นงานกาชาดคนจะเริ่มเดินก็ตั้งแต่ช่วง 17.00 เป็นต้นไป
ถือว่าเป็นบทวิเคราะห์เล็กๆที่ผมหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อพ่อค้าแม่ค้าที่ได้รับข้อมูลจากบทความนี้นะครับ