Wednesday, April 9, 2014

ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง

จากที่ผมสังเกตในตลาดนัดสุราษฎร์ธานี แทบจะทุกที่มีบรรยากาศที่ซบเซามากๆ ดูง่ายๆเลยครับ คนเดินจับจ่ายกันน้อย แถมพ่อค้าแม่ค้าบางคนก็หายหนาหายตาไปไหนก็ไม่รู้ แผงขายของก็โล่ง นี่แหละครับ ซบเซา 

และประกอบกับสุราษฎร์ธานีเริ่มมีฝนตกเสียด้วย นับได้ว่าเป็นสิ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญเลยครับ ฝนตกก็จบเกมส์...จะขายใครละทีนี้



ตอนนี้สมองกำลังประมวลผลว่าผมควรจะนำพาสายไหมที่ขายตามตลาดนัดต่างๆ ไปอยู่ในห้างด้วยเนื่องจากมองเห็นข้อดีต่างๆที่ชัดเจน คือ
1.) ไม่ต้องหวั่นไหวเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศ เพราะฝนตกฟ้าร้องก็ไม่มีผลอยู่แล้ว 
2.) สามารถยกระดับสินค้าของเราให้มีมูลค่าที่สูงขึ้นได้ ... ภาษาบ้านๆ คือ ขายได้แพงกว่าตอนอยู่ตลาดนัดแน่นอน

ตอนนี้ผมเริ่มกำลังทำวิจัยเล็กๆและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเงื่อนไขของห้าง ถ้าดูแล้วไม่เอาเปรียบมากเกินไปผมว่าจะลองดูซักตั้ง 

ไหนๆก็จะเข้าหน้าฝนแล้ว มองห้างใหญ่ๆ ไว้เป็นทางเลือกย่อมไม่เสียหาย

Sunday, April 6, 2014

งานกาชาดและสมโภชศาลหลักเมืองสุราษฎร์ธานี 1/1

งานกาชาดรอบนี้ถ้าเปรียบเทียบกับงนฟูดแฟร์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านไป หากเป็นโซนในเต้นท์งานกาชาดผู้คนส่วนใหญ่ย่อมให้ความสยใจมากอยู่แล้ง เพราะมันคือจุดขายของงานนี้โดยเฉพาะ แต่ถ้าเป็นตามร้านรวงที่ขายของกันภายในงานถือว่าไม่มีความคึกคักเอาเสียเลย จำนวนคนที่เดินไปมานั้นบางตากว่างานฟูดแฟร์มากครับ ไล่มาตั้งแต่หน้าศาลหลักเมืองบริเวณ สภ.อ.สฎ.  พ่อค้าแม่ขายต่างก็ก้มหน้าก้มตาเอานิ้วทิ่มสมาร์ทโฟนกันอย่างเมามันส์มากกว่าที่จะตั้งหน้าตั้งตาขายของเสียอีก เหอ ๆ ๆ ๆ ๆ สงสัยกำลังเล่นคุกกี้รันมั้ง





ถัดมาอีกหน่อยก็จะเป็นจุดสำคัญของงานที่มาการเสี่ยงดวงจับสลากสไตล์งานกาชาด เพียงแค่ลงทุนไม่กี่สิบบาทหรือกี่ร้อยบาทก็มีโอกาสที่จะได้รางวัลติดไม่ติดมือกลับบ้าน ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า ของเบ็ดเตล็ด หรือแม้แต่รถยนตร์ MPV ยอดฮิต คุณตรึมมากครับเพราะพี่ไทยนั้นชอบเสี่ยงดวง
ใกล้ๆ กันนั้นก็มีรำงเวียนครก รอบละ 20 บาท โซนนี้ถูกใจบรรดารุ่นคุณลุงคุณป้าแน่นอนครับ




ทีนี้เรามาดูในส่วนของโซนร้านค้าต่างๆ ที่ในงานนี้มีการจัดบูชแบบติดกันยาวไปตลอดจนแทบจะสุดถนนริมน้ำ ข้อดีที่เห็นชัดเจนคือ ผู้จัดงานได้รับค่าเช่าที่แบบเต็มๆ ครับ รวยกันไปหลังจากจบงานกาชาด แต่ข้อเสียก็ตกอยูกับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าผู้เช่าแผงในส่วนของบบรรยากาศที่ไม่เอื้ออำนวยให้ได้เปรียบในการขาย  เพราะมันดูละลานตาจนตัดสินใจยากที่จะซื้อ  ผมกล้ารับประกันเลยว่าจบงานกาชาดนี้จะได้ยินหลายๆคำจากปากบรรดาพ่อค้าแม่ค้าแน่นอน  เช่น "คนไม่ค่อยซื้อ" .... "งานกาชาดปีนี้เงียบบบบบ" .... "เศรษฐกิจไม่ค่อยดี" ..... "คนคงเบื่อจากงานฟูดแฟร์ พอจัดงานกาชาดต่อคนก็เลยไม่ซื้อ"  หรืออะไรต่างๆ 


ราคาค่าลีอคแบบนี้ในงานกาชาด 2x2 เมตรอยู่ที่ราคา 16,000  บาท เฉลี่ยแล้วก็อยู่ที่ราวๆ 1,600 บาทต่อวัน ผมมองว่าราคานี้แพงมากครับ เพราะผู้จัดงานนั้นไม่มีความเป็นมืออาชีพในการวางผังร้านค้า ทำให้ร้านค้าที่ขายในงานนี้ขายยากกกกก มากกกกก แต่ต้องขายให้ได้เพื่อสู้กับรายจ่ายที่แพงงงงง มากกกกกก  เช่นกัน ถ้าผู้จัดได้มาอ่านบทความนี้ของผม ในรอบหน้าอยากให้ปรับปรุงการวางผังร้านค้าให้เป็นมืออาชีพกว่านนี้สักหน่อย อย่าให้อแอัดเกินไป เพราะเรื่องนี้คือหน้าที่ของท่านเอง ว่างๆ ก็ลองหาข้อมูลจากห้างใหญ่ๆ หรือร้านสะดวกซื้อชื่อดังบ้างก็ดีนะครับ หรือไม่ก็ลองสอบถามพนักงาน CPN ดูว่าการวางผังอย่างไรที่กระตุ้นการจับจ่าย เพราะห้างพวกนี้เวลาจะขยายสาขาแต่ละครั้งเค้าต้องใช้เงินลงทุนเป็นร้อยล้าน ต้องแม่นยำมากอยู่แล้ว น่าจะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์  

ส่วนค่าไฟฟ้าอยู่ที่ดวงละ 20 บาทสำหรับหลอดะเกียบนะครับ (อันนี้สำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่ตั้งแผงริมฟุตบาทนะครับ)
ของผมจะมีหลอดไฟสามดวงและเครื่องทำสายไหมอีกหนึ่งเครื่อง ราคา 100 ถ้วนพอดี



ความเห็นส่วนตัวของผม จะให้น้ำหนักในส่วนของทำเลและบรรยากาศที่ชวนให้จับจ่ายเป็นหลัก  เพราะคนส่วนใหญ่จะจ่ายเงินด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล  
ทำเลที่น่าสนใจสำหรับผม คือจุดที่ต้องมีความได้เปรียบในการมองเห็น เช่น ณ บริเวณตรงนั้นต้องมองเห็นหน้าร้านของเราโดยที่ไม่ต้องพยายามมอง แค่กวาดตาก็ต้องมีความรู้สึกสะดุดว่า "เอ๊ะ อะไรขาวๆ สว่างๆ"  พูดง่ายๆ คือต้องมีความเป็นคอขวดหรือคอคอดทางด้านการมองเห็นที่กินบริเวณกว้าง ต้องโดดเด่นในระยะปานกลางถึงระยะใกล้เพื่อลดความเสี่ยงในการขายให้สำเร็จง่ายยิ่งขึ้น


ในส่วนงานกาชาดนี้ผมก็ยังคงขายในที่ทำเลเดิมกับตอนที่ขายงานฟูดแฟร์ แต่รอบนี้ปัจจัยต่างๆ ไม่เอื้อำนวยให้เกิดคอคอดทางด้านสายตาของลูกค้าเอาเสียเลย ผมขายวันแรกวันเดียว จึงสังเกตเห็นอะไรบางอย่างว่าคน 10 คน เค้าเดินผ่านแผงผมไป แต่ในคนกลุ่มนั้นมีแค่คนเดียวที่มองเห็นแผงของผม ถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอาเสียเลย  เพราะอีก 9 คนเดินภายไปโดยไม่ได้รับรู้และตัดสินใจเลยเสียด้วยซ้ำ นี่เองคือเหตุผลที่ผมขายงานกาชาดเพียงวันเดียว คือ 2 เมษายน หลังจากนั้นนอนตีพุงอยู่ที่บ้านหรือเอาเวลาไปซ้อมดนตรีดีกว่าครับ และงานต่อไปที่ผมมองคือ งานวัดหลวงพ่อพัฒน์ 


ลาก่อนนะงานกาชาด ไว้เจอกันปีหน้านะครับ



Monday, March 24, 2014

งานกาชาด VS งานวัดหลวงพ่อพัฒน์


มุมมองส่วนตัวของผมคิดว่าการที่มีงานใหญ่ระดับจังหวัดถึงสองงาน แม้จะทำให้จังหวัดสุราษฎร์มีบรรยากาศที่คึกคักมากขึ้นก็ตาม แต่อย่ามองข้ามความสมดุลบางอย่างไป สิ่งที่ว่านี้คือ ปริมาณผู้คน 

งานช้างสองงานที่ชนแทบจะประสานงากันนั้น ผมว่ามันน่าจะทำให้เกิดปรากฏการณ์แบ่งแย่งส่วนแบ่งของผู้คนเป็นสองส่วน ผลเสียที่เกิดขึ้นน่าจะตกอยู่กับพ่อค้าแม่ขายเต็มๆ เพราะด้วยปริมาณคนซื้อที่ถูกแบ่งครึ่งในแต่ละวัน ทำให้บรรยากาศภายในแต่ละงานนั้นจำนวนคนขายเริ่มจะแซงจำนวนคนซื้อ และช่วงนี้ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นพ่อค้าแม่ค้าหน้าใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายมากมายรวมถึงตัวผมด้วย  



ข้อมูลเหล่านี้ผมก็เก็บมานั่งใคร่ครวญดู มันทำให้รู้ว่าตอนนี้คนรู้สึกเบื่อกับการเดินช้อปปิ้ง หากพวกเขาจะไปเดินเที่ยวงาน สวนใหญ่จะพุ่งไปที่จุดขายของงานคือ จับสลากกาชาด หรือไม่ก็ทำบุญไหว้พระกันไปเลย  ทีนี้ทำเลที่คนน่าจะพลุกพ่านที่สุดคือ ทำเลที่อยู่ใกล้กับจุดไคลแมกซ์ของงานนั้นๆ  นี่คือบทวิเคราะห์มั่วๆ ของผมนะครับ อย่าเชื่อเสียทีเดียว เดี๋ยวจะเจ๋งไม่เป็นท่า เหอๆๆๆๆ








จากปฏิทินที่เห็น วันที่ที่คาบเกี่ยวกันคือ 6-11 ที่จะทับซ้อนงานทั้งสองงาน แต่โดยความเป็นจริงแล้ว งานหลวงพ่อพัฒน์นั้น เริ่มตั้งแผงขายของกันตั้งแต่วันที่ 1 เสียด้วยซ้ำ เพราะผมได้เดินทางไปลงพื้นที่อย่างละเอียดยิบ ฉะนั้นการตัดสินใจที่ผมจะทำคือ ลองขายงานกาชาดดูสักวันนึงก่อน ถ้าเห็นว่าไปไม่สวยค่อยย้ายด่วนมาขายที่งานหลวงพ่อพัฒน์ 

หากจะให้คะแนนในส่วนนี้ผมให้คะแนนงานวัดที่ดูมีภาษีกว่า เพราะงานบุญนั้น ใครๆก็สามารถจะมาทำบุญ ปิดทองได้ตั้งแต่เช้าจรดมืดค่ำ เรียกว่ามาได้ทั้งวัน แต่ถ้าเป็นงานกาชาดคนจะเริ่มเดินก็ตั้งแต่ช่วง 17.00 เป็นต้นไป 

ถือว่าเป็นบทวิเคราะห์เล็กๆที่ผมหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อพ่อค้าแม่ค้าที่ได้รับข้อมูลจากบทความนี้นะครับ 



Wednesday, February 19, 2014

ตลาดนัดไดมอนด์ สุราษฎร์ธานี 2/2

เอาละครับ หัวข้อที่แล้วคือข้อมูลด้านภูมิศาสตร์และสภาพพื้นผิวโลก น่าจะมีประโยชน์ไม่น้อยนะครับสำหรับมือใหม่ ที่นี้มาลองดูสภาพตลาดนัดที่ถ่ายจริงว่าสินค้าที่ขายส่วนใหญ่คืออะไรกันนะครับ เริ่มจากโซนเสื้อผ้าและเบ็ดเตล็ดกันเลย






80-90% คือเสื้อผ้ามือหนึ่งและมือสอง ส่วนที่เหลือก็จะเป็นเบ็ดเตล็ดอื่นๆ เช่น แว่นตา กระเป๋า น้ำหอม ซึ่งสินค้าเบ็ดเตล็ดที่มีน้อยเจ้านั้นก็ไม่ต้องแข่งขันกันสูงครับและจากการที่ผมเคยแอบสอบถามพูดคุยกันแม่ค้าเหล่านี้ มักจะมีลูกค้าขาประจำอยู่แล้ว เช่น ร้านขายน้ำหอม ร้านแว่นตา 

กลยุทธ์ที่ผมจะแนะนำสำหรับมือใหม่ตลาดนัด คือ เน้นเริ่มที่สินค้าเบ็ดเตล็ดน้อยเจ้านี่แหละครับจะปลอดภัยที่สุดซึ่งเราต้องเริ่มต่อยอดจากเจ้าเก่าที่ขายอยู่ กับคำถามที่ว่า  "หากเราต้องขายสินค้าชนิดนี้ อะไรคือสิ่งที่จะเติมเต็มความต้องการของลูกค้าเพิ่มขึ้นได้อีก" หรือ " จะสามารถพัฒนาบริการให้ดีขึ้นได้อย่างไรโดยไม่มีต้นทุนเพิ่มขึ้น " รับรองว่าสนุกแน่ครับ กับคู่แข่งน้อยราย

ทีนี้มาเข้าสู่ประเด็นของการขายเสื้อผ้ากันต่อ หากใครต้องการจะขายเสื้อผ้า ซึ่งหันไปทางไหนก็มีแต่คู่แข่งเต็มมมมมมไปหมด ผมแนะนำกลยุทธ์แผงหัวมุมอย่างเดียวเลยครับ เพราะในเมื่อมันเยอะจนละลานตาก็คงต้องใช้ทำเลเข้าช่วยซึ่งได้ผลดีแน่นอน ล๊อคหัวมุมจะได้เปรียบตรงที่เป็นตำแหน่งคนสัญจรพลุกพล่าน สามารถมองเห็นง่ายจากทั้งสองทิศทาง แลดูโปร่งโล่งสบายซึ่งความที่เป็นล๊อคหัวมุมทำให้พลางตาลูกค้าให้ล๊อคของเราแลดูกว้างใหญ่เป็นพิเศษ  หรืออาจจะซื้อล๊อคถัดจากหัวมุมมาสักล๊อคสองล๊อคก็ไม่ว่ากันเพราะถือว่ายังอยู่ในทำเลที่สายตาของลูกค้าสามารถกวาดมาถึงอยู่

ค่าล๊อคโซนนี้จะอยู่ที่ราคา 60 บาทต่อล๊อคนะครับ รวมไฟฟ้าเรียบร้อยแล้วด้วย


ที่นี้มาต่อกันด้วยล๊อคขายอาหารกันเลย




จากการประเมินด้วยสายตาชั้นเดียวของผมเอง สามารถแบ่งหมวดอาหารได้เป็น 3 หมวดหยาบๆ คือ อาหารและขนมต่างๆ  เครื่องดื่ม และผลไม้

อาหารและขนมก็มีทั้ง ข้าวเหนียวไก่ทอด บาบีคิว ขนมจีบ โรตีสายไหม ก๋วยเตี๋ยว เครปญี่ปุ่น เฉาก๊วย ซาลาเปาทอด ประเภทยำ ผัดไทไชยา หอยทอด ฯลฯ จิปาถะ ตีเป็นสัดส่วนในโซนอาหารก็จะอยู่ที่ประมาณ 40-50 % ของโซนอาหารเห็นจะได้มั้ง

ส่วนเครื่องดื่มพวกชาเย็น โอเลี้ยง น้ำผลไม้ปั่น น้ำผลไม้ผสมน้ำผึ้ง น้ำเปล่า น้ำอัดลม ผมให้สัดส่วนที่ 10-15 % ของโซนอาหาร

และสุดท้ายผลไม้นานาชนิด ประมาณ 35-50 % ของโซนอาหาร ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและฟ้าฝนด้วย  

หากใครอ่านบทความตลาดนัดไดมอนด์ 1/2 มาก่อนจะรู้ว่าล๊อคขายอาหารตรงโซนสีแดงนั้นคือพื้นที่ที่คนพลุกพล่านมากและโอกาสในการขายสูง ส่วนล๊อคสีเหลืองที่เห็นเป็นติ่งน้อยๆ แยกออกมาคือโซนมรณะ มีล๊อคอาหารมาลงกันกี่เจ้ารับรองว่ามาขายกันได้ไม่เกิน 3 นัด เป็นต้องเจ๊งม้วนเสื่อพับกลับบ้านไปทุกครั้ง คำแนะนำคือ ขายของกินที่คุณถนัดโดยเน้นที่โซนสีแดงเข้าไว้ เพราะโซนสีเหลืองมันโครตเสี่ยง ขายอะไรก็ได้รับรองรอด

ราคาโซนตรงนี้อยู่ที่ 150 บาทต่อล๊อคครับ 

นี่คือคำแนะนำเล็กๆน้อยๆ จากพ่อค้าตลาดนัดครับ หวังว่าข้อมูลเหล่านี้คงจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่คิดจะเริ่มต้นค้าขายนะครับ





Saturday, February 15, 2014

ตลาดนัดไดมอนด์ สุราษฎร์ธานี 1/2

ตลาดนัดไดมอนด์



ชื่อตลาดแห่งนี้กำเนิดมาจากแหล่งที่ตั้งของตลาดที่อยู่ตรงข้ามกับโรงแรมไดมอนด์นั่นเองครับ หากต้องการจะมาขายของตลาดนัดที่นี่ก็จำเป็นที่จะต้องรู้ข้อมูลสักนิดนึงเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งภายในกันหน่อย และที่สำคัญๆก็มีไม่กี่อย่างครับ 



1 สำนักงาน
    การจะมาจองล๊อคขายของตลาดนัดหรือตลาดสดล้วนต้องเข้ามาที่สำนักงานนี้  ภายในจะมีพนักงานสาวสามถึงสี่คนนั่งสวยๆอยู่ภายในสำนักงาน    ผมมีข้อเสนอแนะนิดนึงครับว่าหากต้องการจะมาจองล๊อค ต้องรีบมาให้เช้าและเร็ว โดยเฉพาะวันจันทร์และวันศุกร์ มายืนรอหน้าสำนักงานสักประมาณ 8.00 น. หรือยิ่งเช้าได้ก็ยิ่งดีครับ เพราะล๊อคที่นี้เต็มเร็วมาก ใครๆก็อยากจะมาขาย  หากท่านเข้ามาที่สำนักงานตอนสักประมาณสายๆหน่อยแล้วล๊อคเต็ม สังเกตได้จากป้ายกระดาษหน้าประตูตามในรูปนี้เลย และสาเหตุที่ผมไม่เคยคิดจะมาจองล๊อที่นี่ เพราะผมเล่นดนตรีกลางคืนเลิกดึกครับกว่าจะได้นอนก็ประมาณตี 4 และมักจะตื่นมาจองล๊อคไม่เคยทันเลย ซึ่งป้าย " ล๊อคตลาดนัดวันนี้( สินค้าทุกประเภท) เต็มแล้ว (ไม่เหลือสักล๊อค) " นี้เป็นป้ายที่ผมเห็นจนชินแล้ว.....

สำหรับใครที่อยากจะจองล๊อคประจำ ที่ตลาดนัดไดมอนด์จะมีการจับฉลากเลือกล๊อคกันทุกวันที่ 1 ของเดือนเสมอๆ ช่วงเวลาก็ประมาณ บ่ายแก่ๆ หน่อยครับ ยังไงก็ลองติดจ่อสอบถามเจ้าหน้าี่คนสวยกันได้นะครับ







2 ตลาดสดไดมอนด์
          ตรงตัวตามความหมายครับ ที่นี้จะเป็นลักษณะของส่วนโล่งหลังคาคลุมและมีล๊อคที่ก่อขึ้นมาจากปูน เน้นขายผัก ผลไม้ หมูตาย ไก่ตาย ปลาตายและปลาเป็น เครื่องดื่มเล็กๆ น้อยๆ ข้าวสารอาหารแห้ง สินค้าอุปโภคบริโภคตามเรื่องตามราว



3 ลานจอดรถ / ตลาดนัดไดมอนด์
          นี่คือจุดไคลแมกซ์ของหัวข้อนี้ครับ สำหรับตลาดนัดไดมอนด์ ในวันปกติสถานที่แห่งนี้จะเป็นลานจอดรถยนต์แห้งๆ ธรรมดา แต่เมื่อถึงวันจันทร์และวันศุกร์เมื่อไหร่ รถยนตร์ที่จอดจะถูกกีดกันไม่ให้ผ่านเข้ามาในบริเวณนี้ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่นอนหลับกันเต็มตื่นจากเมื่อคืน ก็ต่างพากันมาตั้งแผงขายของกัน บางคนมาตั้งแต่เที่ยงวันก็มี ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ว่าพี่เค้าจะรีบตั้งไปไหน แดดร้อนเปรี้ยงๆ ลานโล่งๆ แล้วมีแผงขายอาหารอยู่ล๊อคเดียวตั้งแต่บ่าย 2 เนี่ยนะ ..... อย่าไปเข้าใจเขาเลยครับ เพราะเขาอาจจะถือคติที่ว่าเตรียมพร้อมดีมีชัยไปกว่าครึ่งก็ได้ 
         และลานตลาดนัดไดมอนด์ดก็ยังแบ่งย่อยได้เป็น 2 โซนอีกที คือ โซนอาหารและโซนสินค้าอุปโภค




          ล๊อคอาหาร

ในล๊อคอาหารจะมีลักษณะของพื้นที่เป็นรูปตัว L ซึ่งก็สามารถแบ่งย่อยได้เป็น 2 พื้นที่ย่อยๆอีก คือ พื้นที่คนเดินผ่านพลุพล่าน (สีแดง)และพื้นที่คนเดินผ่านน้อย (สีเหลือง)

   นี่คือรูปแบบการเดินจับจ่ายของลูกค้าในตลาดนัด สีแดงคือหนาแน่น สีเหลืองคือเบาบาง




        ล๊อคประจำที่พ่อค้าแม่ค้าต่างซื้อจับจองกันในระบบรายเดือนส่วนใหญ่จะเป็นโซนสีแดงเพราะคนทั่วไปจะนิยมเดินเยอะมว๊ากกกกกกกกก  พฤติกรรมของคนเดินตลาดนัดมักจะเดินวนอยู่ในกรอบสีแดง ส่วนเหตุผลที่โซนสีเหลืองมีคนเดินผ่านน้อยก็เนื่องมาจากที่ว่าเป็นพื้นที่ติ่งเนื้องอกน้อยๆ ที่สามารถยืนกวาดตาดูด้วยตาก็เห็นหมดแล้วว่ามีอะไรขายบ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเดินผ่านไปให้เมื่อยตุ้ม  หากท่านมันใจว่าสิ่งที่ท่านกำลังขายอยู่นั้นสามารถสะกดจิตลูกค้าทั้งหลายให้แย่งกันรุมทึ้ง รุมซื้อได้ละก็ ต้องมีทำเลที่ดีด้วยนะครับ และโซนสีแดงคือสิ่งที่ท่านต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาครอบครอง (รับรอง ขายกันไม่ทัน)




     ล๊อคสินค้าอุปโภค 

    มีหมดทุกอย่างที่ไม่ใช่ของกิน และส่วนใหญ่โซนนี้ถ้าให้ผมประเมินด้วยสายตาดวงน้อยๆของผมเอง จะเป็นล๊อคขายเสื้อผ้าถึง 80% ซึ่งรวมทั้งหมดทั้งเสื้อผ้ามือสองและมือหนึ่ง ... ถือว่าเยอะมากเลยใช่ไหมครับ  และสินค้าประเภทอื่นๆก็เช่น น้ำหอม แผ่นซีดี ของเล่นเคสโทรศัพท์  เครื่องดนตรี การ์ตูนมือสอง

    และเช่นกันครับ ในโซนสินค้าอุปโภคนี้หากใช้ความพลุกพล่านของคนที่เดินไปมาเป็นเกณฑ์ ก็จะแบ่งได้ 2  พื้นที่ย่อยๆ อีกคือ พื้นที่ที่คนเดินกันพลุกพล่าน (สีกรมท่า) และพื้นที่ที่คนเดินน้อย (สีเหลือง) ใครที่คิดจะขายในสิ่งที่แตกต่างอย่าลืมด้วยนะครับ ยึดพื้นที่ที่คนพลุกพล่านเข้าไว้ โอกาสชนะ ย่อมมีสูง






4 ลานจอดรถ


       ถือว่าเป็นรายการเสิรมที่สำคัญครับ เพราะถ้าไม่มีที่จอดรถหรือจอดรถลำบาก ย่อมมีผลต่อการตัดสินใจเดินตลาดไม่มากก็น้อย
       ส่วนพื้นที่นี้ลักษณะจะเป็นลานลูกรังที่มีความพิการสูง คือเป็นหลุมเป็นบ่อ เป็นโคก เป็นเนิน ซึ่งถ้าใครเคยเข้ามาในพื้นี่จอดรถตรงนี้จะรู้ว่ามันยิ่งกว่าที่ผมบรรยาย 



ผมเคยเห็นรถเก๋งใหม่ป้ายเเดงขับเข้ามาจอดในพื้นที่นี้ ผลก็คือ แค่ปากทางเข้าก็เล่นเอาสเกิร์ตข้างๆ ถลอกปอกเปิกไปหมด เมื่อคนขับเริ่มคิดได้ว่ากูไม่น่าเข้ามาเลย ... ก็เลยถอยรถยนต์ออกจากพื้นที่จอดรถ ปลายท่อไอเสียก็ดันขุดดินกลับไปดูเป็นที่ระลึกให้คนที่บ้านดูเสียอีก ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่เหมือนกันครับว่า พนักงานที่นี่วันๆ เป็นแต่เก็บตังค์ค่าล๊อคแพงๆเป็นอย่างเดียว แค่นั้นหรือ ??? แต่ส่วนเรื่องที่ต้องพัฒนาตลาดโดยการสอดส่องและประสานงานกับผู้ที่รับผิดชอบให้ตลาดเกิดการพัฒนาและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นกลับไม่เคยคิดจะทำเลย  .... อืม แต่มันก็เป็นแบบนี้มาหลายเดือนแล้วนะ คงจะทำเป็นอยู่แค่นั้นจริงๆนั่นแหละ


ราคาค่าล๊อคนั้นอยู่ที่ 150 บาทสำหรับโซนอาหาร และ 60 บาทสำหรับโซนเสื้อผ้า ขาดตัว และราคานี้รวมค่าไฟฟ้าแล้วนะครับ พ่อค้าแม่ค้าท่านใดจะเอาหลอดไฟมาติดที่ล๊อคสัก 50 ดวงก็ไม่เป็นไร หรือจะเอาหม้อหุงข้าวมาหุงข้าวกินกัน ราคานี้แหละครับ จัดได้ว่าเป็นราคาที่แพงที่สุดในตลาดนัดสุราษฎร์ธานีตอนนี้เลยทีเดียว แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะขาย



สรุปโดยรวมสำหรับตลาดนัดไดมอนด์ ถือว่าค่อนข้างดีและเป็นที่นิยมทั้งบุคคลทั่วไปและพ่อค้าแม่ขาย แม้ราคาค่าล๊อคจะสูงมากก็ตาม
 





Tuesday, February 11, 2014

ตลาดนัด สุราษฎร์ธานี

เอาละครับที่นี้ก็ได้เวลาที่ทุกท่านรอคอยกันแล้วนะครับ กับรายละเอียดของตลาดนัดในสัปดาห์นึงที่จะวนเวียนกันไปยังที่ใดบริเวณใดกันบ้าง เพื่อให้สอดคล้องกับหัวข้อของบทความผมจะขออรัมบทเป็นรูปภาพแบบคร่าวๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมว่ามีตลาดนัดในพื้นที่ใดกันบ้างนะครับ



คราวนี้เราจะมาเจาะลึกกันทีละตลาดกันต่อเลย จากบทความต่อๆไป ติดตามข้อมูลกันได้นะครับ




Thursday, January 23, 2014

ตรวจสอบคู่แข่งว่าเค้าทำอะไรอยู่

วันนี้หยุดขายหนึ่งวันครับ แ่ไม่ได้หยุดเฉยๆนะ ผมใช้โอกาสนี้ไปสำรวจคู่แข่งว่ามีใครบ้าง ทำอะไรอยู่ที่ไหน ขายยังไง ซึ่งก็ไปเจอที่ตลาดสำเภาทองอยู่เจ้านึงครับ ก็เลยจอดรถอยู่ไกลๆ แล้วนั่งดูอยู่้ห่างๆ อย่างห่วงๆ 




ถ้าเปรียบเทียบข้อเด่นข้อด้อยเท่าที่ผมมองสิ่งที่เขาได้เปรียบคือ 

1 ราคา คู่แข่งขายไม้ละ 15 บาทในขณะที่ผม ขายไม้ละ 20 บาท หากต้องมาตั้งแผงติดกันแล้วละก็ นี่คือข้อแตกต่างที่ลูกค้าเห็นได้ชัดเจน พี่เณรบูน มากที่สุดข้อนึง  ถามว่าเมื่อรู้แบบนี้แล้วควรจะขายลดราคาลงมาหรือเปล่า คำตอบของผมคือ ไม่ครับ ผมจะไม่ขายสายไหมต่ำกว่าไม้ละ 20 บาทอย่างแน่นอน บางคนบอกว่าขายไม้ละ 10 บาทก็ยังมีกำไรอยู่นะ ถ้าคิดแบบนี้เท่ากับคุณฆ่าตัวคุณเองครับเพราะถ้าลดราคาลงมาครึ่งนึงก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะขายดีเพิ่มขึ้นเท่าตัวสักหน่อย และอีกอย่างนึงผมว่าตัวเลข 20 บาทถือเป็นตัวเลขที่ซื้อง่ายขายคล่อง ลูกค้าสามารถจ่ายเงินโดยใช้ความคิดน่้อยกว่าความอยากเมื่อรู้ว่า "มันก็แค่ 20 บาทเองนะ" 


2 ขนาดของไม้่สายไหม  นี่คืออีกข้อนึงที่ผมลังเลว่าจะเปลี่ยนมาใช้อันที่สวยๆ ใหญ่ๆ กว่าเดิมดีไหม แต่คิดๆดูแล้วมันก็ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้เกิดความแตกต่างสักเท่าไหร่ มีไม้สวยแต่สุดท้ายก็เห็นแต่สายไหมอยู่ดี ปั่นกลมๆ เหมือนกันทั่วประเทศ 

นั่นคือ ถ้าผมจะขายสายไหมในราคาที่แพงกว่า ผมต้องยกระดับคุณภาพการขายและรูปแบบการนำเสนอของสายไหมให้คุ้มค่าพอที่ลูกค้าจะยอมจ่ายแพงกว่าอีกแค่ 5 บาทเพื่อซื้อของๆ ผม ... แล้วกูจะทำไงว่ะ แค่สายไหมมันจะพลิกแพลงอะไรได้อีก 


"ก็แค่ขายให้ราคาเท่ากันกับคู่แข่งแล้วปั่นให้เยอะกว่าคู่แข่งแค่นี้ก็พอแล้ว"

หากคิดแบบนี้ ผมไปถามเด็ก ป.4 เอาก็ได้ครับ

ขอไปนอนคิดคืนนึงละกัน