ประสบการณ์ใหม่ในชีวิตของผมหลังจากที่ผมตกงานประจำจากการเป็นนักดนตรีก็คือ การขายของตลาดนัดตามที่ต่าง ๆ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีครับ ขั้นตอนแรกเลยสำหรับทุกคนที่ก้าวเข้ามาเป็นพ่อค้าแม่ขายมือใหม่คงหนีไม่พ้นคำถามสุดฮิตครับว่า “ขายอะไรดี” ถ้าตีโจทย์ข้อแรกได้ คำตอบอื่นๆ ก็จะตามมาเอง สำหรับสิ่งที่ผมจะขายในฐานะที่เคยเป็นนักดนตรีก็คงจะหนีไม่พ้น “เครื่องดนตรี” และแน่นอนที่สุดว่าเครื่องดนตรีสุดฮิตที่ติดกระแสคงจะหนีไม่พ้น อูคูเลเล่ (Ukulele) ครับ ด้วยความที่เป็นเครื่องดนตรีขนาดเล็ก พกพาสะดวก เล่นง่าย ไม่เจ็บนิ้ว มีลายน่ารักให้เลือกซื้อ จนขนาดที่ว่าบางกระแสนั้นคนซื้อไปเพื่อเป็นเครื่องประดับอย่างเดียวก็มี
 |
อูคูเลเล่ลายไม้ครับ |
 |
ส่วนตัวนี้จะเป็นอูคูเลเล่ไฟฟ้า |
เอาละ ในเมื่อรู้แล้วว่าจะขายอะไร ขั้นตอนต่อมาก็ต้องมาเริ่มว่าจะขายที่ไหน และที่ที่นั้นต้องมีคนพลุกพล่านพอสมควร ก็คงไม่พ้นตลาดนัดครับ เป็นจุดเริ่มต้นที่มีต้นทุนต่ำมาก และมีโอกาสในการขายค่อนข้างสูงพอตัว สำหรับการเริ่มต้นเราควรจะต้องเตรียมค่าใช้จ่ายเอาไว้สองประเภท
รายจ่ายวัฏจักร ได้แก่ ค่าเช่าแผง (หรือเรียกสั้นๆ ว่า “ค่าล๊อค”) ค่าไฟฟ้า ค่าทำความสะอาดแผง เป็นต้น
รายจ่ายต้นทุน คือ ค่าวัสุดอุปกรณ์ในการตกแต่งหรือส่งเสริมการขายแต่ไม่ใช่ตัวสินค้า ได้แก่ กล่องใส่สินค้าหลอดไฟ เสื่อ ป้ายราคา ตะแกรงวางของ เชือกมัดของ เป็นต้น
รายจ่ายหมุนเวียน คือเงินที่เอามาใช้ซื้อสินค้า เมื่อขายได้ก็จะได้ทุนกลับมาพร้อมกำไรนั่นเอง
สำหรับรายจ่ายวํฏจักรนั้นเริ่มตั้งแต่ค่าเช่าแผงที่มีราคาแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 20-60 บาทต่อหนึ่งล๊อค แล้วแต่สิ่งอำนวยความสะดวกที่เจ้าของตลาดจะอำนวยไว้ให้เราได้ สำหรับตลาดนัดที่ราคาค่าที่นั้นถูกหน่อยก็จะเป็นของเทศบาลนี่แหละครับ บรรดาพ่อค้าแม่ขายก็จะมาจับจองกันเยอะ จริงต้องมีการจับฉลากกันว่าใครจะได้ที่ตรงไหน โดยการให้บรรดาพ่อค้าแม่ขายหย่อนบัตรประชาชนลงไปในกล่องแล้วหยิบขึ้นมา วัดดวงกันไปเลยครับ เหมือนอารมณ์ตอนที่จับใบดำใบแดงตอนที่เขาคัดทหารกัน
พ่อค้าแม่ค้าหลาย ๆ คนรวมถึงตัวผมเองด้วยนั้น หากว่าเราไม่สามารถที่จะเข้าคิวรอจับฉลากแบ่งล๊อคหรือเข้าไปซื้อล๊อคได้ทันเวลา ก็ต้องมาลุ้นกันต่อว่าเราจะได้ที่ขายของเมื่อไหร่ ก็ตอนช่วงที่เขาตั้งแผงขายของกัน จะมีพ่อค้าแม่ค้าบางคนที่จับฉลากได้ล๊อคไปแล้ว แต่อาจจะมีเหตุผลที่เขาไม่มาขาย เช่น ได้ที่ที่ไม่ถูกใจก็เลยไม่มาขายซะงั้น หรือฝนฟ้าอากาศไม่เป็นใจก็ไม่มาอีกเช่นกัน เป็นต้น ทีนี้ก็จะเป็นโอกาสของผมที่จะได้เข้าไปแทรกแซงจับจองล๊อคประเภทนี้เพื่อที่จะขายแทนซะเลย เรียกว่าชุบมือเปิบ
ส่วนใหญ่นั้นที่ที่เราจะใช้ตั้งของขาย เจ้าของตลาดเขาจะแบ่งล๊อคไว้ โดยแต่ละล๊อคจะมีขนาด กว้างยาวประมาณ 1.5 X 1.5 เมตร เพียงแค่นั้นครับ หากใครขายของเยอะหรือขายหลายอย่างก็จองไว้เลยครับ สองล๊อคสามล๊อคแล้วแต่ความเหมาะสม และสำหรับตลาดนัดเอกชนนั้น ล๊อคพิเศษอย่างล๊อคที่อยู่ตรงหัวมุมนั้นจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าล๊อคที่ไม่ได้อยู่หัวมุม เพราะโอกาสที่มากกว่าทำให้สามารถที่จะขายได้เยอะ โอกาสก็มากกว่านั่นเองครับ
ต่อมาก็จะเป็นระบบอำนวยความสะดวกให้กับบรรดาพ่อค้าแม่ขายนั่นก็คือ ระบบไฟฟ้า จัดว่าเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ ครับ เพราะต้องเริ่มขายของกันตั้งแต่เวลา 16.00 น. ไปจนกระทั่ง สามสี่ทุ่มโน่นแสงสว่างจึงสำคัญมาก ๆ ครับ ตามตลาดนัดที่ต่าง ๆ จึงมีหลอดไฟแสงจันทร์กำลังขับสูงที่ติดตั้งอยู่บนยอดเสาขนาดใหญ่ไว้คอยให้บริการสาดส่องอยู่แล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่พอครับ บรรดาพ่อค้าแม่ขายจึงต้องเตรียมหลอดไฟเพื่อให้แสงสว่างแก่ล๊อคของตัวเองอีกทีหนึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการขาย สำหรับล๊อคของผมนั้นด้วยความที่เป็นล๊อคเล็ก ๆ ผมจึงต้องลงทุนกับแสงสว่างให้มาก ๆ ครับ ส่งเสริมเพื่อให้ล๊อคของผมนั้นสว่างไสวและยังทำให้สินค้าของผมมีความโดดเด่นและสะดุดตาของลูกค้าให้มากที่สุด
อีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องคำนึงเสมอก็คือเรื่องของฟ้าฝน สภาพอากาศ สำหรับพ่อค้าแม่ค้าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ครับ ของบางอย่าง เช่น เครื่องดนตรีทั้งหลายของผมเองนั้น ต้องหลีกหนีให้ไกลจากความชื้นและน้ำให้มากที่สุดครับ มันหมายถึงความเสียหายหรือหายนะเลยทีเดียว หากวันไหนที่ฟ้าอึมครึม ต้องคำนวณให้ดีว่าฝนจะตกหรือไม่ หากคำนวนพลาดจะทำให้เราได้ไม่คุ้มกับที่เสียครับ
สิ่งที่ต้องระวังสำหรับการขายของ ก็คือ เรื่องของลิขสิทธิ์ หากเราขายของที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ต้องระวังเจ้าหน้าที่ที่มาตรวจสอบตามตลาดนัดไว้ให้ดี ค่าปรับไม่ใช่น้อย ๆ ครับ หลักหมื่นเป็นต้นไป หรือ จำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ ฉะนั้น ระวังให้ดีครับ
......................................................................................
แนะนำหนังสือเคยอ่าน
คุยเฟื่องเรื่องสามก๊ก
ความรักการอ่านในวรรณกรรมจีนของตัวผมเอง
เกิดขึ้นมาเพราะว่าผมจีบผู้หญิงคนหนึ่งที่มีนามสมมุติว่า “น้องลูกหมี”
ด้วยความที่เธอเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยและสอนประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การที่ผมจะจีบน้องลูกหมีผมก็ต้องมีความรู้ในเรื่องประวัติศาสตร์ในสมองบ้างไม่มากก็น้อย
นี่คือจุดเริ่มต้นของการที่ผมตัดสินใจศึกษาวรรณกรรมจีน สามก๊กครับ (
ท่านสามารถที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับน้องลูกหมี ได้ในหัวข้อบล็อกที่ชื่อว่า “3NIS
AAN” และ “37ISSIW AVW” )
หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือสามก๊กเล่มแรกที่ผมเริ่มอ่านเพราะผมอ่านหนังสือสามก๊กมาก่อนหน้านี้หลายสำนักมาก อ่านไม่เคยจบครับ แต่อยากจะบอกว่า ”คุยเฟื่องเรื่องสามก๊ก” เป็นหนังสือสามก๊กเล่มแรกที่ผมอ่านจบ เพราะแค่ชื่อหนังสือก็สะท้อนเนื้อหาภายในและการใช้ภาษาที่สอดแทรกความเป็นตัวตนของโกวิท ตั้งตรงจิตร
นักเขียนสารคดีดีเด่นแห่งชาติได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายประวัติของตัวละคร รวมไปถึงการแซวชื่อของตัวละครหรือชื่อเมืองต่าง
ๆ ภายในเรื่องที่ใส่แนวความคิดที่มีอารมณ์ขันของผู้เขียนลงไป ผมอ่านแล้วผมยังอดหัวเราะไม่ได้กับไอเดียที่ชวนให้อารมณ์ดีของคุณโกวิท
ใครที่อ่านสามก๊กมาแล้ว อ่านยังไงไม่เคยจบ คุยเฟื่องเรื่องสามก๊ก น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีอีกเล่มหนึ่งครับ
...................................................................................................