Tuesday, April 24, 2012

เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน(-2-)



        ตามตลาดนัดในสุราษฎร์ธานีส่วนใหญ่จะขายเสื้อผ้าประมาณ    85%    เลยทีเดียว   ส่วนที่เหลือก็จะเป็นกิ๊ฟช๊อป    เบ็ดเตล็ด    ราคาที่ตั้งขายตามตลาดนัดโดยส่วนใหญ่จะตั้งไว้ที่ประมาณ   20   ,  99   ,   199   , 299อะไรประมาณนั้น   เป็นราคาที่ทำให้ลูกค้าควักเพื่อจ่ายเงินซื้อง่ายๆ อะไรแบบนั้น






 
ช่วงแรก ๆ มีแม่ค้าพ่อค้าหลายรายมาถามผมว่า   ราคาหลักพันแบบนี้ลูกค้าจะมีเงินซื้อหรือป่าว   เพราะส่วนใหญ่ตามตลาดนัดนั้นราคาสินค้าจะไม่สูงขนาดนี้    ผมก็นั่งเงียบๆ   พร้อมกับคิดในใจว่า   จะซื้อหรือไม่ซื้อนั้น  ผมมองว่ามันเป็นการตัดสินใจของลูกค้าครับ   หากเขาพอใจเขาและเห็นว่าสินค่าผมราคาไม่แพงจริงๆ   และคุ้มค่าที่จะซื้อ   เรื่องเหล่านี้ย่อมไม่เป็นปัญหา     แต่นั่นแหละครับมันจึงเกิดเป็นอุปสรรคที่สำคัญอย่างหนึ่งของผมคือ     ราคาสินค้าที่ผมขายอยู่นั้นแม้จะถูกมากในสินค้าประเภทเดียวกันแต่เมื่อนำไปตั้งอยู่ตามตลาดนัดนั้นก็ถือว่าเป็นราคาที่จัดว่าสูงที่สุดในตลาดนัดเลยครับ   สินค้าพวกนี้จะมีกลุ่มลูกค้าเฉพาะอยู่แล้ว   เป็นสินค้าที่ต้องตั้งใจมาซื้อ   หรือหากว่าบังเอิญอยากได้ก็ต้องมีเงินในกระเป๋าอยู่พอสมควร   นี่คือสิ่งที่ผมต้องใช้ความอดทนในการขายครับ   จะมาเปรียบเทียบกับเสื้อผ้ามือหนึ่งมือสองหรือ  ต่างหูหรืออุปกรณ์เสริมโทรศัพท์ที่แต่ละอย่างราคาซื้อง่านยจ่ายคล่องนั้น ย่อมไม่ได้แน่นอน

แผงขายที่มีขนาดเล็กเท่ากับหนึ่งล๊อคให้เช่าพอดิบพอดี 

          ในช่วงสิบวันแรกที่ผมเริ่มขายนั้นผมไม่สามารถที่จะขายสินค้าได้แม้แต่สักรายการเดียวเลยครับ    แต่ต้องอดทนไปทุกวันทุกอาทิตย์   เพราะความที่เราเป็นสินค้าที่แปลกใหม่ในตลาดนัด    ผมกล้าพูดได้เลยว่า   ณ   เวลานี้ผมคือพ่อค้าขายเครื่องดนตรีเจ้าแรกและเจ้าเดียวในจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ขายสินค้าประเภทนี้ตามตลาดนัดครับ  สินค้าที่ขายจะหนักไปทางเครื่องดนตรีประเภทอูคูเลเล่ซะส่วนใหญ่   เพระว่ายังอยู่ในกระแส   ราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อยปลาย ๆ  จนถึงครึ่งหมื่นก็ขายครับ  ส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ   ที่เกี่ยวกับ  อูคูเลเล่นั้นมีตั้งแต่   ขาตั้งอูคูเลเล่   (Tripod Ukulele )    เครื่องตั้งสาย    กระเป๋าอูคูเลเล่   สายอูคูเลเล่   และแน่นอนครับ   เราก็ควรที่จะต้องมีสินค้าราคาถูกอย่างเช่น  ปิ๊คกีตาร์ไว้บ้าง   เพื่อให้มีสินค้าขายง่ายไว้ดึงเงินจากกระเป๋าลูกค้า       

และอย่างที่เห็นครับว่าแผงของผมทีใช้ในการตั้สินค้านั้นเรียบง่ายมาก ๆ   ด้วยความที่เราต้องการให้ต้นทุนต่ำที่สุดจึงมีการประยุกต์ใช้สิ่งที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุดและขนย้ายง่ายด้วยครับ ซึ่งโดยหลัก ๆ  แล้วผมจะมี

1. ลังใส่ของสีดำ  2 ลูก   เพื่อใช้เก็บอูคูเลเล่ในการขนย้ายไป - กลับระหว่างตลาดนัด กับที่บ้าน    และนอกจากนั้นยังสามารถที่จะเอาเป็นโต๊ะเล็กๆ ไว้เพื่อตั้งเป็นแผงได้อีกด้วยในเวลาที่เราขายของ

2. ตะแกรงตะข่าย

3. ป้ายราคา

4. หลอดไฟ  และปลั๊กไฟ

5. เก้าอี้ตัวเล็ก ๆ  สักตัว  เอาไว้นั่งขาย   (จะได้ไม่เมื่อย) 



เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน (-1-)

ประสบการณ์ใหม่ในชีวิตของผมหลังจากที่ผมตกงานประจำจากการเป็นนักดนตรีก็คือ การขายของตลาดนัดตามที่ต่าง ๆ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีครับ ขั้นตอนแรกเลยสำหรับทุกคนที่ก้าวเข้ามาเป็นพ่อค้าแม่ขายมือใหม่คงหนีไม่พ้นคำถามสุดฮิตครับว่า “ขายอะไรดี” ถ้าตีโจทย์ข้อแรกได้ คำตอบอื่นๆ ก็จะตามมาเอง สำหรับสิ่งที่ผมจะขายในฐานะที่เคยเป็นนักดนตรีก็คงจะหนีไม่พ้น “เครื่องดนตรี” และแน่นอนที่สุดว่าเครื่องดนตรีสุดฮิตที่ติดกระแสคงจะหนีไม่พ้น อูคูเลเล่ (Ukulele) ครับ ด้วยความที่เป็นเครื่องดนตรีขนาดเล็ก พกพาสะดวก เล่นง่าย ไม่เจ็บนิ้ว มีลายน่ารักให้เลือกซื้อ จนขนาดที่ว่าบางกระแสนั้นคนซื้อไปเพื่อเป็นเครื่องประดับอย่างเดียวก็มี
อูคูเลเล่ลายไม้ครับ
ส่วนตัวนี้จะเป็นอูคูเลเล่ไฟฟ้า




เอาละ ในเมื่อรู้แล้วว่าจะขายอะไร ขั้นตอนต่อมาก็ต้องมาเริ่มว่าจะขายที่ไหน และที่ที่นั้นต้องมีคนพลุกพล่านพอสมควร ก็คงไม่พ้นตลาดนัดครับ เป็นจุดเริ่มต้นที่มีต้นทุนต่ำมาก และมีโอกาสในการขายค่อนข้างสูงพอตัว สำหรับการเริ่มต้นเราควรจะต้องเตรียมค่าใช้จ่ายเอาไว้สองประเภท



  1. รายจ่ายวัฏจักร ได้แก่ ค่าเช่าแผง (หรือเรียกสั้นๆ ว่า “ค่าล๊อค”) ค่าไฟฟ้า ค่าทำความสะอาดแผง เป็นต้น


  2. รายจ่ายต้นทุน คือ ค่าวัสุดอุปกรณ์ในการตกแต่งหรือส่งเสริมการขายแต่ไม่ใช่ตัวสินค้า ได้แก่ กล่องใส่สินค้าหลอดไฟ เสื่อ ป้ายราคา ตะแกรงวางของ เชือกมัดของ เป็นต้น


  3. รายจ่ายหมุนเวียน คือเงินที่เอามาใช้ซื้อสินค้า เมื่อขายได้ก็จะได้ทุนกลับมาพร้อมกำไรนั่นเอง


สำหรับรายจ่ายวํฏจักรนั้นเริ่มตั้งแต่ค่าเช่าแผงที่มีราคาแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 20-60 บาทต่อหนึ่งล๊อค แล้วแต่สิ่งอำนวยความสะดวกที่เจ้าของตลาดจะอำนวยไว้ให้เราได้ สำหรับตลาดนัดที่ราคาค่าที่นั้นถูกหน่อยก็จะเป็นของเทศบาลนี่แหละครับ บรรดาพ่อค้าแม่ขายก็จะมาจับจองกันเยอะ จริงต้องมีการจับฉลากกันว่าใครจะได้ที่ตรงไหน โดยการให้บรรดาพ่อค้าแม่ขายหย่อนบัตรประชาชนลงไปในกล่องแล้วหยิบขึ้นมา วัดดวงกันไปเลยครับ เหมือนอารมณ์ตอนที่จับใบดำใบแดงตอนที่เขาคัดทหารกัน



พ่อค้าแม่ค้าหลาย ๆ คนรวมถึงตัวผมเองด้วยนั้น หากว่าเราไม่สามารถที่จะเข้าคิวรอจับฉลากแบ่งล๊อคหรือเข้าไปซื้อล๊อคได้ทันเวลา ก็ต้องมาลุ้นกันต่อว่าเราจะได้ที่ขายของเมื่อไหร่ ก็ตอนช่วงที่เขาตั้งแผงขายของกัน จะมีพ่อค้าแม่ค้าบางคนที่จับฉลากได้ล๊อคไปแล้ว แต่อาจจะมีเหตุผลที่เขาไม่มาขาย เช่น ได้ที่ที่ไม่ถูกใจก็เลยไม่มาขายซะงั้น หรือฝนฟ้าอากาศไม่เป็นใจก็ไม่มาอีกเช่นกัน เป็นต้น ทีนี้ก็จะเป็นโอกาสของผมที่จะได้เข้าไปแทรกแซงจับจองล๊อคประเภทนี้เพื่อที่จะขายแทนซะเลย เรียกว่าชุบมือเปิบ



ส่วนใหญ่นั้นที่ที่เราจะใช้ตั้งของขาย เจ้าของตลาดเขาจะแบ่งล๊อคไว้ โดยแต่ละล๊อคจะมีขนาด กว้างยาวประมาณ 1.5 X 1.5 เมตร เพียงแค่นั้นครับ หากใครขายของเยอะหรือขายหลายอย่างก็จองไว้เลยครับ สองล๊อคสามล๊อคแล้วแต่ความเหมาะสม และสำหรับตลาดนัดเอกชนนั้น ล๊อคพิเศษอย่างล๊อคที่อยู่ตรงหัวมุมนั้นจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าล๊อคที่ไม่ได้อยู่หัวมุม เพราะโอกาสที่มากกว่าทำให้สามารถที่จะขายได้เยอะ โอกาสก็มากกว่านั่นเองครับ



ต่อมาก็จะเป็นระบบอำนวยความสะดวกให้กับบรรดาพ่อค้าแม่ขายนั่นก็คือ ระบบไฟฟ้า จัดว่าเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ ครับ เพราะต้องเริ่มขายของกันตั้งแต่เวลา 16.00 น. ไปจนกระทั่ง สามสี่ทุ่มโน่นแสงสว่างจึงสำคัญมาก ๆ ครับ ตามตลาดนัดที่ต่าง ๆ จึงมีหลอดไฟแสงจันทร์กำลังขับสูงที่ติดตั้งอยู่บนยอดเสาขนาดใหญ่ไว้คอยให้บริการสาดส่องอยู่แล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่พอครับ บรรดาพ่อค้าแม่ขายจึงต้องเตรียมหลอดไฟเพื่อให้แสงสว่างแก่ล๊อคของตัวเองอีกทีหนึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการขาย สำหรับล๊อคของผมนั้นด้วยความที่เป็นล๊อคเล็ก ผมจึงต้องลงทุนกับแสงสว่างให้มาก ๆ ครับ ส่งเสริมเพื่อให้ล๊อคของผมนั้นสว่างไสวและยังทำให้สินค้าของผมมีความโดดเด่นและสะดุดตาของลูกค้าให้มากที่สุด



อีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องคำนึงเสมอก็คือเรื่องของฟ้าฝน สภาพอากาศ สำหรับพ่อค้าแม่ค้าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ครับ ของบางอย่าง เช่น เครื่องดนตรีทั้งหลายของผมเองนั้น ต้องหลีกหนีให้ไกลจากความชื้นและน้ำให้มากที่สุดครับ มันหมายถึงความเสียหายหรือหายนะเลยทีเดียว หากวันไหนที่ฟ้าอึมครึม ต้องคำนวณให้ดีว่าฝนจะตกหรือไม่ หากคำนวนพลาดจะทำให้เราได้ไม่คุ้มกับที่เสียครับ


สิ่งที่ต้องระวังสำหรับการขายของ ก็คือ เรื่องของลิขสิทธิ์ หากเราขายของที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ต้องระวังเจ้าหน้าที่ที่มาตรวจสอบตามตลาดนัดไว้ให้ดี ค่าปรับไม่ใช่น้อย ครับ หลักหมื่นเป็นต้นไป หรือ จำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ ฉะนั้น ระวังให้ดีครับ

......................................................................................

แนะนำหนังสือเคยอ่าน


คุยเฟื่องเรื่องสามก๊ก
 ความรักการอ่านในวรรณกรรมจีนของตัวผมเอง   เกิดขึ้นมาเพราะว่าผมจีบผู้หญิงคนหนึ่งที่มีนามสมมุติว่า   “น้องลูกหมี”  ด้วยความที่เธอเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยและสอนประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้   การที่ผมจะจีบน้องลูกหมีผมก็ต้องมีความรู้ในเรื่องประวัติศาสตร์ในสมองบ้างไม่มากก็น้อย    นี่คือจุดเริ่มต้นของการที่ผมตัดสินใจศึกษาวรรณกรรมจีน  สามก๊กครับ     (  ท่านสามารถที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับน้องลูกหมี  ได้ในหัวข้อบล็อกที่ชื่อว่า   “3NIS AAN”   และ   “37ISSIW   AVW” )
           หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือสามก๊กเล่มแรกที่ผมเริ่มอ่านเพราะผมอ่านหนังสือสามก๊กมาก่อนหน้านี้หลายสำนักมาก   อ่านไม่เคยจบครับ               แต่อยากจะบอกว่า    ”คุยเฟื่องเรื่องสามก๊ก”   เป็นหนังสือสามก๊กเล่มแรกที่ผมอ่านจบ  เพราะแค่ชื่อหนังสือก็สะท้อนเนื้อหาภายในและการใช้ภาษาที่สอดแทรกความเป็นตัวตนของโกวิท   ตั้งตรงจิตร    นักเขียนสารคดีดีเด่นแห่งชาติได้เป็นอย่างดี   ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายประวัติของตัวละคร    รวมไปถึงการแซวชื่อของตัวละครหรือชื่อเมืองต่าง ๆ  ภายในเรื่องที่ใส่แนวความคิดที่มีอารมณ์ขันของผู้เขียนลงไป   ผมอ่านแล้วผมยังอดหัวเราะไม่ได้กับไอเดียที่ชวนให้อารมณ์ดีของคุณโกวิท  
          ใครที่อ่านสามก๊กมาแล้ว  อ่านยังไงไม่เคยจบ   คุยเฟื่องเรื่องสามก๊ก   น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีอีกเล่มหนึ่งครับ

...................................................................................................

Saturday, April 21, 2012

37ISSIW VAW (-19-)

“พี่วิช ตักไอติมให้เค้าหน่อยดิ” น้องลูกหมีพูดออกมาในขณะน้องลูกหมีเองก็วุ่นอยู่กับเครื่องปิ้งขนมปัง และคุ้กกี้ “กินเยอะขนาดนี้ แม่บ้านจะว่าพวกเราไหมเนี่ย”ผมพึมพำออกมาด้วยความกังวลนิด ๆ แต่มือก็จ้วงตักไอติมในตู้อย่างไม่บันยะบันยัง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ณ ห้องรับรองลูกค้าของศูนย์บริการ เชฟโรเลต สุราษฎร์ธานีนี่เองแหละครับ ต้องยอมรับว่าการบริการของพนักงานที่มีต่อลูกค้าอย่างเราสองคนนั้นดีมาก ๆ ครับ วันนั้นเป็นวันที่น้องลูกหมีเอารถแคปติว่าคู่ใจมาถ่ายน้ำมันเครื่อง ผมก็เลยถือโอกาสนั่งรอเป็นเพื่อนน้องลูกหมีกันสองคน ก็เลยเข้าไปในห้องรับรองลูกค้า ไม่คิดเลยว่าพนักงานบริการดียังไม่พอครับ ยังมีของว่างของกิน ไอติมเต็มตู้ มีคุ้กกี้ ขนมปัง น้ำชา กาแฟ โอวัลติน น้ำอัดลมเต็มตู้เย็น เยอะแยะมากมาย สะใจไปเลยครับกับการกิน ยิ่งน้องลูกหมีกับผมรวมกันสองคนด้วยแล้ว กินระเบิดเถิดเทิงไปกันใหญ่ ล้างสต๊อกกันไปเลยเป็นการปิดท้ายรายการยามอาทิตย์ตกดินพอดี “ลูกหมี รอบหน้าถ้าจะถ่ายน้ำมันเครื่องเราน่าจะเกณฑ์เพื่อน ๆ ญาติ ๆ มาถล่มห้องรับรองลูกค้าที่ศูนย์บริการนี้สักหกเจ็ดคนดีกว่านะ เอาให้ชื่อลูกหมีกับป้ายทะเบียนรถลูกหมีติด Black List ของศูนย์บริการ ไปเลย 5555”ผมพูดติดตลก จนกระทั่งรถยนต์เสร็จจากการถ่ายน้ำมันเครื่อง เราจึงเดินทางกลับบ้าน ผมกับน้องลูกหมีมีบางสิ่งบางอย่างอยากจะบอกแก่ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์มาก ๆ ครับว่า รอบหน้าขอกระทะ แก๊ส และของสดพวกหมู ผัก ไว้ในตู้เย็นให้ด้วยน่ะหุหุ