Saturday, December 14, 2013

แนะนำแผงเหล็กขายของตลาดนัด

แผงเหล็กจัดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆในการขายของตลาดนัด ผมคนนึละครับไม่คิดที่จะปูเสื่อขายของอยู่แล้ว

เอาละทีนี้เรามาเจาะลึกเกี่ยวกับอุปกรณ์พวกนี้กันนะครับ


              คานเชื่อมโครงขาหลัก                                                                   เสา
              โครงขาหลัก                                                                     แคร่ไม้


สรุปราคาที่ผมจ่ายไป   ให้เป็นข้อมูลเล็กๆน้อยๆ นะครับ
โครงขาหลัก จำนวน 3 อัน และ คานเชื่อมโครงขาหลัก จำนวน 4  อัน รวมราคา 900 บาท ( วันก่อนบังเอิญเดินไปเจอร้านอื่นขายแค่ 850 บาท รู้สึกจุกนิดๆ) 

เสา 3 อัน และ คานเชื่้อมโครงขาเหล็ก 2 อัน รวมราคา 300 บาท 

แคร่ไม้   200 บาท


เมื่อนำมันมารวมร่างและฟิชเชอร์ริ่งเข้าด้วยกันจะกลายเป้นรูปร่างดังภาพที่เห็น

จากรูปดังกล่าวคือรูปร่างสำเร็จที่ผมเอาชิ้นส่วนมาใช้แค่พอจำเป็นเท่านั้น 


... แต่หากจะให้ผมแนะนำอะไรดีๆเกี่ยวกับเจ้าอุปกรณ์พวกนี้ ขอแนะนำว่า อย่าซื้อมาใช้เลยครับ เพราะราคที่ผมจ่ายไป 1,200 บาท กลับได้แค่โครงเหล็กบางๆ  และรวมไปถึงรอยเชื่อมต่างๆ ก็แสนจะบอบบางเหลือเกิน ผมเคยทำงานช่างมาก่อนเห็นตอนแรกก็ไม่อยากจะซื้อใช้ครับแต่ขี้เกียจไปสั่งทำตามร้านเหล็ก ก็ตัดสินใจซื้อมาใช้ 

ใครที่พอจะมีเวลาและกำลังเงิน หรือหากว่าใครมีพรรคพวกที่ทำงานช่างเหล็กอยู่ ก็ซื้อเหล็กเส้นกลมอย่างหนาให้ช่างไปตัดตามแบบนี้เลยจะดีกว่าครับ  

เอาละว่ะ ทีนี้จะขนไปตลาดนัดยังไงดีละเนี่ย



Monday, December 9, 2013

การขายสินค้าตามสถานการณ์ ... ช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง



การค้าขาย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อะไร แย่แค่ไหน หรือเอื้ออำนวยเพียงใด เราก็ควรจะมองสิ่งรอบข้างและใช้สิ่งเหล่านี้มาเป็นข้อคิดและนำมาปรับใช้กับวิถีชีวิตและธุรกิจของเราเองให้เกิดความได้เปรียบในที่สุด 

แม้ผมจะยังคิดไม่ออกว่าควรจะขายอะไรในตลาดนัดดี แต่ผมก็สามารถที่จะเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลในการคิด และช่วงนี้ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีการชุมนุมประท้วงกันที่ศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี เราจะรีรออะไรกันอยู่ละเพื่อนเอ๋ย ไปซึมซับบรรยากาศและมองหาไอเดียกันเถอะ GO!!!

ทันทีที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาถึงศาลากลาง ก็ต้องปวดหัวกับปัญหาแรก คือเรื่องที่จอดรถที่แน่นขนัดตลอดสองฝั่ง แต่โชคดีที่มอเตอร์ไซค์หาที่จอดง่ายแสนง่าย ถ้าหาริมทางไม่ได้ก็ขึ้นไปจอดบนทางเท้าหน้าวิทยาลัยเทคนิคมันซะเลย ถือว่าใช้สิทธิความเป็นศิษย์เก่า55555

สิ่งที่เห็นตลอดทางเท้าฝั่งศาลากลางคือ พ่อค้า แม่ขายต่างก็นำสินค้ามาตั้งขายกันยาวเหยียดดดดดดดดด นี่แต่เฉพราะข้างหน้านะครับ ถ้าให้ประเมินด้วยสายตาแบบคร่าวๆ ก็จะเป็นพวกสินค้าเกี่ยวกับการชุมนุม เช่น นกหวีด เสื้อ และของกิ๊ฟช็อป ถึงร้อยละ 95% 



รูปนี้เป็นปากทางเข้าศาลากลาง





ส่วนอันนี้คือ ริมรั้วหน้าศาลากลางยาวววววว เหยียด




ภายในศาลากลางก็ยังคงมีสินค้าเกี่ยวกับการชุมนุมเช่นเดียวกับข้างนอก แต่สิ่งที่จะมีเพิ่มขึ้นมาคือ อาหารการกินที่มีน้ำ นม ขนม ขายกัน เพราะผู้ชุมนุมที่มีปริมาณมากขนาดนี้ เมื่อชุมนุมนานๆ ก็ย่อมต้องหิวกันบ้าง โอกาสตรงนี้แหละครับที่ของกินจะขายได้





แต่ถึงกระนั้นก็เหอะ ถ้าใครที่คิดจะขายอาหารคาว เช่น ข้าวแกง  ผมขอแนะนำไว้เลยว่า ท่านที่ขายข้าวแกงหรือ อาหารตามสั่งคงไม่ได้เดินดูให้ทั่วๆ ว่าที่แห่งนี้เค้าก็มีโรงครัวคอยทำอาหารให้แก่ผู้ที่มาชุมนุมได้เข้ามากินกัน ฟรี! ใช้ครับ ฟรี! และก็ ฟรี! คงไม่ต้องถามนะว่าระหว่างข้าวแกงฟรีแถมยังเติมได้ไม่อั้น กับข้าวที่ต้องเสียเงินเราจะเลือกกินอะไร




เนื้อหาการปราศัยส่วนใหญ่เน้นไปที่การโจมตีรัฐบาลเป็นหลักครับ อันนี้ไม่บอกใครๆก็รู้ ไม่งั้นเค้าตั้งเวทีขึ้นมาเพื่ออะไรละ 



กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ผมก็ไม่รีรออะไรตรงหน้าโรงครัวให้เสียน้ำย่อยไปเปล่าๆหรอกครับ จัดการรับประทานอาหารให้อิ่ม ช่วยให้เรามีแรงได้ตั้งมื้อนึง กินไปฟังปราศัยไป มันส์ไปอีกแบบ ในระหว่างที่กำลังกินข้าวราดแกงอย่างเอร็ดอร่อยอยู๋นั้น ก็พลันได้ยินเสียงผู้ชายคนนึง กล่าวอย่างเสียงดังว่า

" พี่น้องคร้าบบบบบบ    เราจะทำการอริยะขัดขืนรัฐบาลกันแบบเต็มที่ " ได้ยินแวบแรกก็รู้สึกเฉยๆ เพราะใครๆ ที่ขึ้นมาบนเวทีเค้าก็ต้องพูดเรื่องนี้กัน

" พรุ่งนี้จะต้องมีการปิดการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาและโรงเรียนต่างๆ ในจังหวัด ถ้ามีโรงเรียนไหนเปิดการเรียนการสอน ผมขอรับผิดชอบเองคร้าบบบพี่น้อง " สิ้นประโยคนี้ ผู้ชุมนุมก็เฮกันอย่างกึกก้องสะเทือนฟ้า อารมณ์และบรรยากาศพุ่งพล่าน ผมแทบจะกลืนข้่าวไม้ลง เพราะอยากเห็นหน้าคนที่สั่งปิดโรงเรียนได้ทั้งจังหวัด ว่าเค้าคนนั้นคือใคร  คงจะตำแหน่งใหญ่น่าดูถึงทำเช่นที่พูดได้

" พอไหมครับพี่น้อง ??????  ถ้ายังไม่พอละก็ ...... ได้ครับ งั้นพรุ่งนี้ขอรวมไปถึงส่วนราชการทุกส่วนทั่วทั้งจังหวัดทั้งในเมืองและต่างอำเภอ ขอให้ปิดและหยุดงาน เราจะไม่ทำงาน ถ้ามีส่วนราชการไหนที่เปิดทำการแม้แต่หน่วยงานเดียว ผมขอเอาหัวของผมเป็นประกันเลยคร้าบบบบบ โผมมมมมมมมม .....  เพ่  น้องงงงงงงงงงงงงงงงงง.......  " ผู้ปราศัยคนดังกล่าวตะเบงเสียงจนลมแทบจะหมดจากร่างกาย ผู้ชุมนุมยิ่งเฮ บรรยากาศคึกคักยิ่งกว่าแฟนบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดโห่ดีใจที่ทีมขึ้นไปคว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปียนลีกมาจูบเสียอีก  

ผมแอบคิดในใจว่า พี่บ่าวนี้ หรอย จริงๆ สั่งปิดหน่วยงานราชการได้อีกต่างหาก

" ยังครับ พี่น้อง ยังมีอีกครับ "  

ผมแทบจะหยุดกินข้าวไปเลยเมื่อรู้ว่ายังมีอีกหรือเนี่ย พี่แกใหญ่คับฟ้าเกินไปแล้วมั้ง

" ธนาคารและสถาบันการเงินหลายๆ แห่ง ขอให้ปิดทำการหนึ่งวันด้วยครับ " 

โอ้วววว ท่านเป็นใครเนี่ย เป็นอะไรกับธนาคารแห่งประเทศไทยหรือป่ว กล้าเกินไปแล้วนะ ผมวางข้าวแกงที่เต็มกล่องโฟมไว้เบื้องหลังและค่อยๆ เดินแหวกฝูงชนพร้อมๆกับเคี้ยวข้าวในปากให้หมดไปแบบช้าๆ พุ่งมองไปบนเวทีแบบไม่ละสายตาราวกับกำลังต้องมนต์สะกด พยายามเบียดเสียดสู่ด้านหน้าเวทีเพื่อไปดูหน้าผู้ชายคนนี้ ที่กำลังปราศัย อยากจะจ้องรูขุมขนแกจริงๆ ว่าอะไรที่ทำให้แกมีอำนาจสั่งการได้ถึงเพียงนี้ 

" พรุ่งนี้ต้องหยุดครับพี่น้อง เพราะพรุ่งนี้คือ วันที่ 10 ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญครับพี่น้อง "

หลังจากที่รู้ว่าโดนหลอกให้ทิ้งข้าวกล่อง  ผมรู้สึกเหมือนโดนกระโดดถีบยอดอก คำว่า "วันรัฐธรรมนูญครับพี่น้อง     วันรัฐธรรมนูญครับพี่น้อง     วันรัฐธรรมนูญครับพี่น้อง      วันรัฐธรรมนูญครับพี่น้อง" ยังคงวนเวียนเป็นเสียง ECHO เบาๆ เบาๆ เบาๆ  ตอนนั้นท่ามกลางฝูงชนที่แออัดในใจผมถวิลหาเพียงอย่างเดียวคือ .......... เอาข้าวกล่องกูคืนมา



โอเค้ !!!  ผมต้องโทษตัวเอง ที่จำไม่ได้เองว่าพรุ่งนี้คือวันรัฐธรรมนูญ แม้จะกินได้ไม่ถึงครึ่งกล่องแต่ก็คงไม่คิดจะกลับไปกินต่อแล้วหละครับ 


หลังจากนั้นไม่นานผู้ปราศัยรายต่อมาก็ขึ้นมาพูดปลุกใจบนเวที ทำเอาผู้ชุมนุมคึกคึกยิ่งกว่ากับคำถามที่ว่า

ผู้ปราศัย " กินข้าวอิ่มไหมครับ พี่น้อง "         
ผู้ชุมนุม  " เอ่มมมมมมมมมม " 

ผู้ปราศัย " พี่น้องครับ เราจะเดินทางไปราชดำเนินด้วยกันใช่ไหม " 
ผู้ชุมนุม  " ช่ายยยยยยย "                             

ผู้ปราศัย " เราจะสามัคคีกันใช่ไหมครับ "  
ผู้ชุมนุม  " ช่ายยยยยยยยย "

ผู้ปราศัย  " เราไม่กลัวรัฐบาลชุดนี้ใช่ไหมครับ "
ผู้ชุมนุม   " ช่ายยยยยยยย "

ผู้ปราศัย  " ศึกครั้งนี้ พร้อมไม่พร้อมครับ"
ผู้ชุมนุม   " พร้อมมมมมมมมมมม" 

ผู้ปราศัย " สู้ไม่สู้ ครับ"
ผู้ชุมนุม  " ซู่วววววววววววววว "

ผู้ปราศัย " ถอยไม่ถอยครับ "
ผู้ชุมนุม " ถอยยยยยยยยยยยย"

ผู้ปราศัย "..... ????????? "
ผู้ชุมนุม  " ..................... "

ผู้ชุมนุม  "เอ่อ...... คือ ..... ผมขอถามอีกทีน่ะ ถอยไม่ถอยคร้าบบบบ พี่น้องงงง "
ผู้ชุมนุม  " ไม่ ถอยยยยยยยยยยยย "

ผู้ปราศัย " ดีมาก นึกว่าไม่ทันได้สู้ที ถอยซะแล้ว 5555555"

ผู้ชุมนุมก็ต่างเฮกัน บรรยากาศเสียงเฮปนเสียงหัวเราะกึกก้องกันทั่่วศาลากลาง



สินค้าส่วนใหญ่ที่ขายดีนั้นจะเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ของธงชาติ เช่นเสื้อ นกหวีด ผ้าพันคอ หมวก เป็นต้น แต่มีอีกธุรกิจหนึ่ง คือ ธุรกิจพิมพ์รูปลงบนกรอบมือถือให้เป็นรูปต่างๆ เช่น ธงชาติ  อันนี้ขายดีมาก ได้ข่าวว่าเครื่องพิมพ์เกือบพัง เพราะทำไม่ทันเลยทีเดียว 55555

อย่าพยายามปิดกั้นตัวเอง ควรจะหาไอเดียจากสถานที่แปลกใหม่ ผมว่าเราน่าาจะได้ไอเดียที่แปลกใหม่ไม่แพ้กัน

Sunday, December 1, 2013

หาข้อมูลใหม่เข้าสู่สมอง ...


วันนี้อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ผมว่าการนอนคิดอยู่บ้านอะไรอยู่คนเดียวในบ้าน คงจะยิ่งทำให้สมองตันเข้าไปอีก เอาแบบนี้ละกัน ลองออกไปเดินเล่นเบาๆ ดูว่าพ่อค้าแม่ค้าเค้านิยมขายอะไรกัน เผื่อจะได้ไอเดียดีๆ มาต่อยอดเป็นธุรกิจของเราเอง และวันนี้คือวันจันทร์ ก็คงต้องเดินทางไปตลาดนัดไดมอนด์ สุราษฎร์ธานี ( ไว้ว่างๆ ค่อยเอาข้อมูลเกี่ยวกับตลาดไดมอนด์มาลงในบล๊อคแบบเต็มๆ ละกันนะครับ


กวาดสายตาไปรอบกับบรรยากาศอึมครึม โซนที่คึกคักที่สุดคือโซนอาหาร .... กำลังคิดว่าจะขายอะไรดีที่คนกินได้ แล้วไม่บูดไม่เน่า ไม่ใช่เนื้อสัตว์

 ขายขนมหลอกเด็กจะดีไหม ???  แต่ขึ้นชื่อว่าหลอกเด็กก็บาปแล้ว ข้อนี้ขอบาย

หรือจะขายน้ำผัก ผลไม้ปั่นดีหนอ ???? เค้ากันเยอะแล้ว ถ่าต้องการสร้างความแตกต่าง เราจะแตกต่างยังไงดี ทำน้ำผัก ผลไม้ที่ไม่ค่อยมีมนุษย์คนไหนทำขายกันจะดีไหม เช่น น้ำทุเรียน น้ำสะตอ น้ำกระเทียม มันเป็นไอเดียที่ดีนะแต่คงต้องพัฒนาอีกหลายขั้นจนกว่าจะมีมนุษย์คนแรกกล้ามาซื้อกินถึงตลาดนัด ข้อนี้ขอบายเช่นกัน

ลูกชิ้นทอด ไส้กรอกทอด เกี๊ยวทอด ???  คนขายกันเยอะแล้ว เพราะมันง่ายที่จะทำ และลงทุนต่ำใครๆก็ขายได้ ฉะนั้น ความแตกต่างจึงอยู่ที่ความสวยงามของแผง และสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ขายกับลูกค้า แม้จะมีแป้งเป็นส่วนประกอบเยอะก็จริง แต่มันดันมีสิ่งมีชีวิตผมอยู่แม้จะสัดส่วนน้อยก็ตาม 




เดินคิดอะไรไปเรื่อยๆ จู่ก็มีความคิดแบบสายฟ้าแล๊ป แวบผ่าเข้ามาในหัว เพราะบังเอิญได้ยินแม่ลูกคู่นึงเดินสวนกับผมพร้อมบทสนทนาประมาณว่า

"แม่ อยากได้ของเล่นชิ้นนี้อ่า " เด็กชายคนนึงงอแงคุณแม่พร้อมทำท่า อริยะขัดขืนในการเดินต่อไปข้างหน้าจนต้องหยุดลงที่แผงๆนึง

" ราคา 29 มันแพงนะชิ้นนี้ เอาชิ้นอื่นที่ราคาถูกๆ สิ " แม่กล่าว




สุดท้ายเกิดอะไรขึ้นรู้ไหมครับ แม่คนนี้ดันซื้อของเล่นชิ้นละ 20 บาทให้ลูกของเธอเล่น แต่ซื้อถึง '3 ชิ้น'  นั่นก็คือ เงิน 60 บาท เพราะคิดว่า ก็แค่ชิ้นละ 20 บาทเอง

ผมจึงได้บทเรียนโดยบังเอิญเกี่ยวกับการตั้งราคา ว่าระดับราคาที่คนทั่วไปสามารถจ่ายโดยไม่คิดอะไรมากมาย คือ 20 บาทนี่เอง
เป็นความบังเอิญที่คุ้มค่าครับ งั้นคงต้องเพิ่มโจทย์ลงไปในแนวทางอีกข้อนึง 

- ราคาต้องต่ำมากพอจนคนทั่วไปสามารถจ่ายได้แบบง่ายๆ โดยระดับที่วางไว้คือ 20 บาท -


เอาละมึง ทีนี้กูจะขายอะไรว่ะ แต่แนวทางเท่าที่มีก็คิดไม่ค่อยจะออกอยู่แล้ว นี่เพิ่มมาอีกข้อนึงก็ยากขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่ได้รีบเร่งอะไรนี่นา คิดไปเรื่อยๆ อาจจะ1 เดือน หรือ 2 เดือน หรือ ครึ่งปี หรือ 1 ปี ก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ผมยังไม่ได้ตกงาน ไร้แรงกดดันในการคิดอยู่แล้ว