วันนี้อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ผมว่าการนอนคิดอยู่บ้านอะไรอยู่คนเดียวในบ้าน คงจะยิ่งทำให้สมองตันเข้าไปอีก เอาแบบนี้ละกัน ลองออกไปเดินเล่นเบาๆ ดูว่าพ่อค้าแม่ค้าเค้านิยมขายอะไรกัน เผื่อจะได้ไอเดียดีๆ มาต่อยอดเป็นธุรกิจของเราเอง และวันนี้คือวันจันทร์ ก็คงต้องเดินทางไปตลาดนัดไดมอนด์ สุราษฎร์ธานี ( ไว้ว่างๆ ค่อยเอาข้อมูลเกี่ยวกับตลาดไดมอนด์มาลงในบล๊อคแบบเต็มๆ ละกันนะครับ
กวาดสายตาไปรอบกับบรรยากาศอึมครึม โซนที่คึกคักที่สุดคือโซนอาหาร .... กำลังคิดว่าจะขายอะไรดีที่คนกินได้ แล้วไม่บูดไม่เน่า ไม่ใช่เนื้อสัตว์
ขายขนมหลอกเด็กจะดีไหม ??? แต่ขึ้นชื่อว่าหลอกเด็กก็บาปแล้ว ข้อนี้ขอบาย
หรือจะขายน้ำผัก ผลไม้ปั่นดีหนอ ???? เค้ากันเยอะแล้ว ถ่าต้องการสร้างความแตกต่าง เราจะแตกต่างยังไงดี ทำน้ำผัก ผลไม้ที่ไม่ค่อยมีมนุษย์คนไหนทำขายกันจะดีไหม เช่น น้ำทุเรียน น้ำสะตอ น้ำกระเทียม มันเป็นไอเดียที่ดีนะแต่คงต้องพัฒนาอีกหลายขั้นจนกว่าจะมีมนุษย์คนแรกกล้ามาซื้อกินถึงตลาดนัด ข้อนี้ขอบายเช่นกัน
ลูกชิ้นทอด ไส้กรอกทอด เกี๊ยวทอด ??? คนขายกันเยอะแล้ว เพราะมันง่ายที่จะทำ และลงทุนต่ำใครๆก็ขายได้ ฉะนั้น ความแตกต่างจึงอยู่ที่ความสวยงามของแผง และสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ขายกับลูกค้า แม้จะมีแป้งเป็นส่วนประกอบเยอะก็จริง แต่มันดันมีสิ่งมีชีวิตผมอยู่แม้จะสัดส่วนน้อยก็ตาม
เดินคิดอะไรไปเรื่อยๆ จู่ก็มีความคิดแบบสายฟ้าแล๊ป แวบผ่าเข้ามาในหัว เพราะบังเอิญได้ยินแม่ลูกคู่นึงเดินสวนกับผมพร้อมบทสนทนาประมาณว่า
"แม่ อยากได้ของเล่นชิ้นนี้อ่า " เด็กชายคนนึงงอแงคุณแม่พร้อมทำท่า อริยะขัดขืนในการเดินต่อไปข้างหน้าจนต้องหยุดลงที่แผงๆนึง
" ราคา 29 มันแพงนะชิ้นนี้ เอาชิ้นอื่นที่ราคาถูกๆ สิ " แม่กล่าว
สุดท้ายเกิดอะไรขึ้นรู้ไหมครับ แม่คนนี้ดันซื้อของเล่นชิ้นละ 20 บาทให้ลูกของเธอเล่น แต่ซื้อถึง '3 ชิ้น' นั่นก็คือ เงิน 60 บาท เพราะคิดว่า ก็แค่ชิ้นละ 20 บาทเอง
ผมจึงได้บทเรียนโดยบังเอิญเกี่ยวกับการตั้งราคา ว่าระดับราคาที่คนทั่วไปสามารถจ่ายโดยไม่คิดอะไรมากมาย คือ 20 บาทนี่เอง
เป็นความบังเอิญที่คุ้มค่าครับ งั้นคงต้องเพิ่มโจทย์ลงไปในแนวทางอีกข้อนึง
- ราคาต้องต่ำมากพอจนคนทั่วไปสามารถจ่ายได้แบบง่ายๆ โดยระดับที่วางไว้คือ 20 บาท -
เอาละมึง ทีนี้กูจะขายอะไรว่ะ แต่แนวทางเท่าที่มีก็คิดไม่ค่อยจะออกอยู่แล้ว นี่เพิ่มมาอีกข้อนึงก็ยากขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่ได้รีบเร่งอะไรนี่นา คิดไปเรื่อยๆ อาจจะ1 เดือน หรือ 2 เดือน หรือ ครึ่งปี หรือ 1 ปี ก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ผมยังไม่ได้ตกงาน ไร้แรงกดดันในการคิดอยู่แล้ว
No comments:
Post a Comment