Wednesday, November 20, 2013

เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน (-8) ทำเลคือสิ่งสำคัญ

ทำเล
สุราษฎร์ฝนตกทุกวัน มันทำให้ผมคิดอะไรบางอย่างว่า ถ้าฝนมันตกสัก 2 เดือนติดกัน นั่นหมายความว่า โครงการขายของตลาดนัดของผมคงจะต้องชะลอไปตามเวลาดังกล่าวด้วย งั้นลองมองหาตลาดใหญ่ที่พอจะมีล๊อคว่างๆ สักที่ดีกว่า เวลาฝนตกจะได้สามารถขายได้ เพราะมีหลังคาคลุมไว้ 

การเลือกล๊อคในตลาดทั่วไป ผมเคยถามพ่อค้าแม่ค้าว่า ทำเลที่ดีควรจะอยู่ตรงไหน เสียงสาวนใหญ่ตอบว่า "ล๊อคหัวมุม" 



เหตุผลที่ทุกคนบอกก็คือ โอกาสของล๊อคหัวมุม มันดีกว่าล๊อคกลางๆ 
ผมก็เลยสงสัยว่า ถ้าราคาแพงกว่าล๊อคทั่วไป จะยังสนใจที่จะเลือกล๊อคหัวมุมอีกหรือไม่ คำตอบที่ได้คือ ถ้าราคาไม่สูงกว่ามาก ก็ยังเอาล๊อคหัวมุม 

อันนี้เป็นเกร็ดความรู้เล็ก ๆ ที่เอามาฝากกันครับ


Monday, November 18, 2013

เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน (-7) ขายอะไรดี ??? ต้องมีแนวทางก่อน

วผมมานั่งทบทวนบทเรียนเกี่ยวกับการขายของตลาดนัดที่ผ่านๆมา เพื่อที่จะเอาข้อมูลเหล่านี้มากำหนดกรอบว่าเราควรจะขายอะไรดี 
เอิ่ม ...  แบบว่า ผมไม่ค่อยอยากจะขายตามที่ใครๆ เค้าชอบบอกว่า "เฮ้ย ไอนี่ก็น่าขายนะ กำไรงาม" "ไอโน่นกำลังฮิตเลย น่าซื้อมาขายบ้างนะมึง"

เอาละ กรอบของธุรกิจตลาดนัดที่ผมกำลังจะเร่ิมต้นนี้ ผมนั่งคิดและเขียนลงในสมุดเพื่อจะคิดและต่อยอดจนเกิดเป็น"สไตล์ของผมเอง" 


 ท่านอาจจะมองว่าแค่ขายของตลาดนัดทำไมต้องคิดอะไรให้ยุ่งยาก ... เออ มันก็ใช่นะ ไม่ต้องคิดเยอะ งั้นพรุ่งนี้ลุยกันเลย เอาสินค้าอะไรก็ไ้ด้ ที่ซื้อมาถูกๆ แล้วขายให้แพงสักนิดแค่นี้ก็ได้กำไรแล้ว เริ่มจากอะไรดีละ รองเท้ามือสอง .... ขายกาแฟโบราณ ... ข้าวเหนียวหมูย่าง... หรือสินค้ากิ๊ฟชอบชิ้นละ 5 บาท หรือเสื้อผ้านำเข้า ฯลฯ  แต่ !!! พอเริ่มขายไปได้สัก 1 เดือน เริ่มจะมีข้ออ้างและเหตุผลที่จะล้มเลิก เช่น คู่แข่งเยอะว่ะ   ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าร้านเรา  ช่วงนี้หน้ามรสุม ออกไปขายไม่ได้  เงินลงทุนเริ่มบานปลายไปเรื่อยๆ แล้ว เลิกดีกว่า และอีกสารพัดเหตุผลที่ดีที่มาสนับสนุนว่า ทำไมเราควรจะเลิก 

การมีกรอบและแนวทางก่อนที่จะเริ่มธุรกิจ ใช่ครับ ธุรกิจ และผมจะเน้นว่ามันคือ ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมอย่างมาก ไม่ว่ามันจะเริ่มต้นด้วยเงินไม่กี่ร้อยก็ตาม ผมถือว่าผมลงทุนและผมต้องการจะเปลี่ยนชีวิตตัวผมเอง การที่มองว่ามันคือธุรกิจ มันทำให้ผมมีพลังในการคิด  แค่นี่แหละครับ สำหรับเหตุผลที่ว่าทำไมต้องใช้คำว่า ธุรกิจ 

แนวทางที่ผมนั่งคิดอยู่นี้เป็นการอุดช่องโหว่จากบทเรียนที่เคยประสบพบเจอมากับตัวเองและประสบการณ์ที่ได้ฟังมากจากผู้้อื่นให้มากที่สุด มันเปรียบเสมือนการบังคับให้เราเดินในเส้นทางที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มและทำให้เราไม่เดินหลงทางหรือเกิดความโลเล แนวทางที่ผมวางไว้เกี่ยวกับธุรกิจขายของตลาดนัด มีดังนี้

1 ขนย้ายง่าย  มันดีแน่นอนครับ ถ้าขนย้ายง่าย มีแค่มอเตอร์ไซค์ก็สามารถขนย้ายได้เนี่ยจะเป็นการลดต้นทุนด้านค่าน้ำมันรถได้เป็นอย่างดี 



2 เวลาจัดแผงเพื่อขายสินค้าในตลาดนัดอาจจะใช้เวลามากหรือน้อยก็ไม่เป็นไร แต่เวลาเก็บสินค้าต้องสามารถเก็บโดยใช้เวลาให้น้อยที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงเวลาฝนตก สมัยที่ผมเริ่มขายของตลาดนัดในช่วงแรกๆ  ผมสังเกตเห็นแม่ค้าพ่อค้ามืออาชีพสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้แบบปกติหน้าตาเฉยในช่วงเวลาที่ดอกฝนเม็ดแรกสัมผัสกับผิวหนังชั้นนอก พ่อค้าแม่ค้าที่ตั้งขายกลางแจ้งเหล่านี้จะมีระบบรักษาความปลอดภัยของสินค้าที่รวดเร็ว ถ้าท่านนึกไม่ออกให้นึกถึงเจ้ามือวงไพ่ที่ตั้งวงสัก 20 วง ที่เวลาได้ยินว้่า "ตำรวจมา!!! " เค้าทำยังไงครับ ก็จัดการเอาผ้าปูโต๊ะนั่นแหละห่อสำรับไพ่แล้วเก็บอย่างรวดเร็ว  และนี่คือความรู้สึกเดียวกันกับที่ผมเห็นพ่อค้าแม่ค้าทุกคนทำ ซึ่งถ้าเรามีสินค้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง ก็ขอให้หาสินค้าที่ไม่กลัวน้ำและความชื้นมาขายละกัน

3 สามารถประยุกต์และพลิกแพลงตัวสินค้าให้เข้ากับสถานการณ์และเทศกาลในแต่ละช่วงโดยต้นทุนไม่เพ่ิมขึ้นมากนัก จะทำให้สินค้าเราอยู่ในความสนใจของผู้คนได้ตลอด เช่น นาย A เปิดร้านขายเสื้อ แล้วจู่ๆ ก็มีการชุมนุมทาการเมืองกันแถวๆร้านของนาย A เขาจึงฉวยโอกาสสกรีเสื้อยืดสีดำที่พิมพ์คำว่า " ไม่เอา นิรโทษกรรม" สรุปว่าขายดีจนทำแทบไม่ทัน พอผ่านไปอีก สามสัปดาห์ข้าสู่เทศกาลปีใหม่ เขาก็สามารถสกรีนเสื้อให้เข้ากับเทศกาลปีใหม่เพื่อกระตุ้นการขายได้อีก เช่น "สวัสดีปี 2557"  อะไรประมาณนี้แหละ 



4 คู่แข่งลอกเลียนแบบได้ยากเพื่อเป็นการลดรอยรั่วสำคัญที่ว่า "ถ้าคู่แข่งมีเงินเยอะกว่าคุณ เขาก็เหนือกว่าคุณได้" เช่น ร้านขายของชำ หากมีเซเว่นอีเลฟเว่นมาเปิดแข่งกันเมื่อไหร่เป็นต้องเจ๊งทุกราย ฉะนั้น เอกลักษณ์ในธุรกิจต้องมีเพื่อความแตกต่างสินค้าต้องมีความเฉพาะตัวที่คนอื่นเลียนแบบเราได้อยากพอสมควร  ผมจะไม่มองว่าต้องแค่ไม่เหมือนใครเพียงอย่างเดียว แต่ไม่เหมือนแล้วเลียนแบบยากในระดับนึงด้วยนี่สิถือว่าตรงใจผมมากๆ และเปรียบเสมือนเป็นปราการกำแพงชั้นดีไว้ป้องกันไม่ให้คู่แข่งเกิดขึ้นมาอย่างง่ายดายและรวดเร็วอีกด้วย 

5 ต้องมีสัดส่วนกำไรที่สูง เพื่อลดความเสี่ยง

6 ซื้อแล้วต้องหมดไป และก็กลับมาซื้อแบบซ้ำซากได้อีก 

7 สินค้าต้องไม่ใช่ของสดที่เน่าเปื่อย 

8 ต้องไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต  หรือของมึนเมา เช่น เหล้า เบียร์ เนื้อสัตว์  อันนี้เป็นความต้องการส่วนตัวของผมเอง


ขอผมไปนอนคิดก่อนละกันนะครับว่าจะขายอะไรดี เพราะผมเองแม้จะวางแนวทางไว้ แต่ก็ยังคิดไม่ออกเช่นกันว่าสุดท้ายแล้วจะขายอะไร 

...........

พอเข้ามาดูพอร์ทในวันนี้ หัวใจวาบหวิว เพราะตลาดหุ้นร่วงกระฉูด หลุด 1400 ไปเรียบร้อย จากปัญหาทางการเมืองในประเทศไทยนี่เอง  !!! ผมก็แอบใจไม่ดี เข้ามาเล่นหุ้นยังไม่ถึงปีเลย แต่ก็คิดว่าหุ้นที่ถือนั้นเป็นหุ้นที่มีความมั่นคงสูง ก็ปล่อยวางช่างหัวมันละกัน 55555

ดีไม่ดีอาจจะเก็บหุ้นเพิ่มอีก แต่ยืนยันว่า ไม่คัทลอสครับ 


Wednesday, November 13, 2013

เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน (-6) หวนกลับมาสู่วงการตลาดนัดอีกครั้ง

แม้ว่ากลางคืนผมจะเล่นดนตรี ส่วนกลางวันผมจะติดตามและลงทุนในตลาดหุ้น

แต่ว่าตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวผมเองยังไม่ได้ใช้ศักยภาพที่มีอย่างเต็มที่สักเท่าไหร่ กลางคืนเราเป็นลูกจ้างประจำ ส่วนกลางวันก็ตื่นสายๆยิ่งช่วงนี้มีการประท้วงการนิรโทษกรรม  ก็รอดูตลาดหุ้นลุ้นให้มันลงแดงเยอะๆ จะได้ซื้อหุ้นเพิ่ม 5555 

การเทรดหุ้นมันน่าเบื่อมากครับ มันเรียบง่ายเกินไป  ส่วนจะได้กำไรหรือไม่นั้นมันก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้ผมกำลังมองหารายได้เสริมเป็นช่องทางที่ 3 ให้กับตัวเอง แน่นอนครับว่าเฉพาะเล่นดนตรี รายได้ของผมรวมๆแล้วก็ประมาณ 30,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป  มันก็พอจะทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างสบาย แต่ผมมองถึงเรื่องการใช้เวลาในแต่ละวันมากกว่าว่าควรจะใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ทุกวินาทีมากกว่านี้ และแน่นอนว่าตัวเลือกที่ผมจะใช้เป็นช่องทางหารายได้ก็คงต้องเป็น "ตลาดนัด"

ถ้าหลายๆคนเคยอ่านหัวข้อเก่าๆ เกี่ยวกับตลาดนัดของผมก็จะรู้ว่าผมก็เป็นมือใหม่ไร้เดียงสาคนนึง .... แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังไร้เดียงสาอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้ประสบการณ์ที่เคยขายของ นำมาใช้จนเกิดประโยชน์ก็คือ การจับต้นชนปลายขั้นตอนต่างๆ เกี่ยวกับการหาตลาด สถานที่ แหล่งขายสินค้าราคาส่ง และอุปกรณ์ที่จำเป็นในตลาดนัด ซึ่งสามารทำได้อย่างรัดกุม รวดเร็ว และมีรายจ่ายสูญเสียน้อยกว่าหรือแทบจะไม่มีการสูญเสียรายจ่ายตรงนี้เลย เพราะเราสามารถเอาบทเรียนมานั่งวิเคราะห์และแก้ไข พัฒนา ให้มันดีขึ้นได้ 

ถ้าให้ผมทบทวนว่าการขายของตลาดนัดครั้งแรกของผมเกิดจากอะไร บอกได้เลยว่ามันไม่ได้เริ่มที่ตลาดนัดครับ มันเริ่มจากมีผู้ชายอ้วนคนนึงที่เป็นสมาชิกในวงเดียวกับผม นั่งคุยกันเรื่องดนตรี แล้วก็มาออกเรื่องการเล่น อูคูเลเล่ แล้วมาสุดซอยที่โอกาสทางธุรกิจเกี่ยวกับการขายเครื่องดนตรี

"วิช  สนใจจะขายของอะป่าว"  -0-
"โหยพี่แซม ... จะให้ผมขายอะไร ทุกวันนี้เงินยังใช้ไม่พอชนเดือนเลย จะให้ไปลงทุนอะไรได้ " - -
"งั้นเดี๋ยวพี่ลงทุนให้ ส่วนวิชลงแรงละกัน ยกเอาอูคูเลเล่ไปขายตามตลาดนัด ขายได้เท่าไหร่ กำไรหารสอง แฟร์ๆ " -0-
"แล้วทำไมพี่ไม่ขายเองละ กำไรจะได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย" - -
"พี่ไม่มีเวลาวะ .ตอนนี้ก็ขายทางเน็ตอยู่ แต่ตลาดนัดพี่คงไปขายเองไม่ได้ เพราะมีงานสอนเลิกเย็นเกือบทุกวัน เหนื่อยเกิน" -0-
" จัดไป ตามนั้น" - -


นี่แหละครับ คือจุดเริ่มต้นของการเอาอูคูเลเล่ไปขายตามตลาดนัด มีรายได้แบบเป็นกอบเป็นกำ เพราะช่วงนั้นกระแสแทบจะเรียกได้ว่า คลั่งสุดๆ ในหมู่วัยรุ่นสุราษฎร์ธานี  สังเกตได้จากที่ หลายๆคนลงทุนไปเรียนแบบจริงจัง ในขณะที่อีกหลายๆคนเล่นไม่เป็นแต่อยากมีไว้สะพายเป็นเครื่องประดับ และที่สำคัญที่จะไม่ให้ขายดีได้อย่างไรละครับ ในเมื่อผมเป็นมนุษย์คนเดียวที่เอาเครื่องดนตรีไปขายตามตลาดนัดในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เดือนแรกขายไม่ค่อยได้ อันนี้มันเรื่องปกติ เพราะสินค้าราคามันสูง แต่เดื่อนต่อๆมาเท่านั้นแหละครับ ลูกค้าที่เคยเห็นเราขายในตลาดนัด พอรู้ว่าราคาถูกกว่าร้านที่ขายทั่วไป ก็ตามมาซื้อจนสั่งมาขายกันไม่ทัน 

และจะว่าไปสิงที่ยกาที่สุดคือการผ่านช่วงเดือนแรกของการขาย ผมท้อแท้มาก เพราะพ่อค้าแม่ค้าเค้าชอบมาพูดกับผมว่า น่าจะขายไม่ได้หรอก ส่วนเหตุผลที่เค้าคิดว่าขายไม่ได้เพราะว่า "เป็นสินค้าราคาสูงที่สุดที่ขายในตลาดนัด" "ราคาแพงเกิน" "ตลาดนัดต้องขายแต่ของราคาถูก" "ไม่เคยเห็นใครเอาของแบบนี้มาขาย" 

เหตุผลที่ผมรอได้เกือบเดือนเพราะผมทำการบ้านครับ ทุกร้านในจังหวัดนี้ผมสืบราคาหมด แถมยังแอบถามพนักงานขายด้วยว่า เมื่อวานขายดีป่าว วันนี้ขายได้กี่ตัว กระแสแรงแค่ไหน ลายไหนขายดี กระเป๋าแบบไหนวัยรุ่นชอบ บลา ๆ ๆ  ๆ ๆ ไอที่ฮิตติดลมบน สั่งมาแบบเต็มอัตราศึก ในเมื่อทุกวันที่ผมนั่งขายของในตลาดนัด ผู้คนก็ยังคงหาซื้ออูคูเลเล่ตามร้านต่างๆ ที่ไม่ใช่ร้านผม   และเหตุผลเดียวที่เค้าไม่มาซื้ออูคูเลเล่ที่ราคาถูกและคุ้มค่า เพราะว่าเค้าไม่รู้ว่ามันมีอยู่ในตลาดนัดไง ความอดทนรอเวลาที่คนเห็นเรามากพอและเริ่มรู้จักเราจึงเป็นสิิ่งจำเป็น

กลยุทธ์สุดท้ายที่เป็นไพ่เด็ดคือ ขายราคาเท่าร้านทั่วไป แต่เน้นของแถมเช่นกระเป๋า ขาตั้ง หรือพวกอะไรเล็กๆน้อยๆ แถมจูนเสียงให้และเปลี่ยนสายให้อีกต่างหาก  พอมาย้อนคิดดูแล้วมันก็สนุกดีนะ เหมือนรำลึกการออกรบทำสงครามทางธุรกิจยังไงยังงั้น 5555

..................................

จนตอนนี้ที่นั่งเขียนบล๊อคอยู่ก็ยังไม่รู้ว่าจะขายอะไรดี  แต่ผมรู้ว่าจะต้องเริ่มอย่างไรครับ หากผมมานั่งทบทวนอดีตที่เคยเกิดขึ้นจุดเริ่มต้นมันมาจากการนั่งคุยกันกับใครๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาเจอกับคนที่ถูกต้อง คนที่พร้อมจะมอบโอกาสให้คุณได้เติมเต็มในสิ่งที่เค้าทำไม่ได้ ส่วนคุณก็แค่รับมันไว้และเรียนรู้สิ่งใหม่ครับหลังจากนั้นลุย !!!!! 

งั้นตั้งแต่พรุ่งนี้ ผมคงต้อง .......
พูดคุย พูดคุย พูดคุย พูดคุย พูดคุย พูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุย

เดี่ยวโอกาสมันจะมาแบบโปรโมชั่นครับ .... เผลอๆ เราอจจะไม่ต้องออกทุนเองซักบาทเดียว เสียด้วยซ้ำ ถ้าสามารถเติมเต็มและตอบโจทย์สร้างความสมดุลให้กันและกันได้

ขอตัวไปพูดคุยคุยก่อนนะ 

ปล. วิธีนี้อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ทุนหนา แต่มันเหมาะอย่างมากกับคนที่ไม่มีทุนอย่างผม เพราะพาไปติดดอยตลาดหุ้นหมดแล้ว 555



Tuesday, November 12, 2013

ต้องอดทน !!!



มาม่าถ้วยนี้ทำให้ผมย้อนรำลึกไปถึงสมัยที้่ยังเรียนหนังสือ ตอนที่ยังอาศัยอยู่บ้านญาติ จำได้ว่าผมได้เงินค่าขนมเดือนละ 3,000 บาทจากพ่อทุกเดือน และเงินค่าเทอมจะได้รับทุกๆเทอมแยกต่างหาก ตามแต่จำนวนที่ทางสถาบันศึกษาจะเรียกเก็บ 

สมัยมัธยมต้น ป้าผมเคยพาไปรับจ๊อบทำงานเป็นเด็กปั้มน้ำมัน ESSO ที่อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี  หน้าที่คือ บีบหัวจ่าย ขายน้ำมันให้กับลูกค้าที่เข้ามาในปั้ม เข้างาน 17.00-01.00 น. และปิดปั้มนอน และจะเปิดปั้มทำงานอีกทีตอน 04.30-07.00 น. (สมัยนั้นปั้มน้ำมันสามารถเปิดได้ดึกมาก) หลังจากเปลี่ยนกะตอน 07.00 น. ก็เดินทางไปเรียนต่อ  และชีวิตจะเป็นแบบนี้สัปดาห์ละ 3-4 วัน ได้ค่าตัววันละ 100 บาท และหากมารวมกับค่าขนมที่พ่อโอนมาให้เดือนละ 3,000 บาทก็ ถือว่าเยอะมากกกกกกก สำหรับผมในอายุช่วงนั้น


ส่วนการจัดการเงินสดในมือของผมในอายุช่วงนั้นจะบริหารเงินต่อสัปดาห์ กล่าวคือ หากวางแผนการใช้เงินอยู่ที่สัปดาห์ละ 700 บาท ก็จะใช้เงินไม่มีการเกินไปแม้แต่บาทเดียวในทุกๆ สัปดาห์ เช่น ผมใช้เงินมาถึงวันที่ 6 ของเดือน เป็นจำนวน 690 บาท ในวันพรุ่งนี้ ผมต้องใช้เงินเพียง 10 บาทเท่านั้นนี่คือวินัย จึงจะไม่เกินข้อจำกัดที่ว่งแผนไว้  ซึ่ง ณ ตอนนั้นผมจะมีเงินสดเหลือในมืออีก 2,200 บาทก็ตาม การทำแบบนี้จะทำให้ไม่เกิดดินพอกหางหมูทางการใช้เงิน และผลลัพท์ที่ผมได้ก็คือ อาการชักหน้าไม่ถึงหลังในแต่ะเดือนนั้นไม่มีอีกเลย เพราะเรากำจัดมันทุกสัปดาห์ไปแล้วนั่นเองและทางออกสำหรับอาหาร 10 บาท คงต้องยกให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้เลย ผมแค่คิดว่า ผมคงไม่สามารถกินมาม่าติดต่อกัน 4 วันได้ แต่ผมสามารถกินมาม่าสัปดาห์ละ1 วัน จำนวน 4สัปดาห์ได้


พอมาเรียน ปวช. ที่โรงเรียนสุราษฎร์เทคโนโลยีช่างอุตสาหกรรม หรือเรียกสั้นๆ ว่า เทคโน บางกุ้ง  ตัวผมก็ยังเป็นเด็กปั้มอยู่ แต่จะไปขายนำ้มันบ้างก็ตอนที่พนักงานประจำที่ปั้มลาหยุด ผมจึงไม่ได้ขายบ่อยแล้ว ซึ่งหากใช้แค่เงินค่าขนมทางบ้านไม่มีทางพอครับเพราะรายได้ลดลง  เผอิญมีเพื่อนสนิทก็ได้เอ่ยปากชวนให้ไปทำงานช่วยยกเครื่องเสียงเล่นตามงานแต่งงานในโรงแรมต่างๆ เช่น โรงแรมวังใต้ โรงแรมไดมอนด์ ทำให้มีรายได้เพิ่มมาอีกหนึ่งทาง ส่วนรายได้ทางที่สองของผมในสมัยเรียน ปวช. คือ รับจ้างเขียนแบบเครื่องกลให้เพื่อนๆ ขายในราคาแผ่นละ 20 บาท ตอนแรกก็แค่รับงานทำแค่เฉพาะเพื่อนๆ ในห้องเรียนด้วยกัน ทำให้ผมมีเงินสดติดกระเป๋าในทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 5xx บาท ขึ้นไปสำหรับในช่วงสามสัปดาห์แรกของการเปิดเทอม เพื่อนๆในห้องก็เริ่มจะชอบและผูกขาดกับผมทุกครั้งเพราะจ้างผมเขียนแล้วอาจารย์จับไม่ได้ ผมสร้างความต่างด้วยลายเส้น น้ำหนักเส้น ความเข้มดินสอ และระดับความสะอาดของงานเป็นจุดขายให้แต่ละคนไม่มีซ้ำกัน  เกิดเป็นการพูดกันปากต่อปาก จาก ปวช. ช่างยนต์แค่ห้องเดียว ทีนี้ลุกลามไปทั้งแผนกช่างยนต์ (มีทั้งหมด 5 ห้อง)  แต่ละห้องก็จะมีคนที่เอางานมาให้ผมทำไม่ต่ำกว่า 15 งาน เพราะฉะนั้นขั้นต่ำของรายได้แต่ละสัปดาห์อยู่ที่ 1,5xx บาทขึ้นไป ยังไม่พอครับ งานนี้เกิดการข้ามแผนก เพราะมีการค้นพบกันว่า ทุกสายช่างต้องเรียนวิชาเขียนนี้เป็นพื้นฐานเหมือนกันหมดทุกคน  ก็เริ่มมีงานจากแผนกอิเล็กทรอนิกส์ และช่างกลโรงงานมา ...

ผมยังจำได้จนทุกวันนี้เลยครับ ว่าอาจารย์ท่านนั้นที่สอนเขียนแบบชื่อ อาจารย์ คำรณ ฤทธิกัน .... จนเมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงปลายๆภาคเรียน งานก็ยากขึ้นและเวลาก็จำกัด ผมจึงต้องเขียนแบบด้วยความเร็ว แน่นอนว่าทุกงานออกมาก็ต้องเหมือนกันหมดเพื่อให้ทันเวลา ทำให้อาจารย์เริ่มสงสัยว่ามีมือปืนรับจ้างเขียนแบบลายเส้นแบบเดียว น้ำหนักแบบเดียว ต่างแค่ความเข้มดินสอ จนท่านได้ไปเค้นความจริงจากเพื่อนผมที่แผนกช่างกลโรงงาน ผมจึงต้องหยุดและหารายได้จากงานยกเครื่องเสียงเพียงอย่างเดียว



ถัดมาในสมัยเรียนปวส. ที่วิทยลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานีเป็นช่วงอายุของผมที่โชคดีเพราะคุณพ่อเอาโทรศัพท์ที่สามารถถ่ายรูปได้มาให้ใช้ ยี่ห้อ PANASONIC GD88 สีบรอนซ์ (ในตอนนั้นถือว่าเป็นกระแสที่ฮิตมากในหมู่วัยรุ่นเมืองไทย) ประกอบกับมีวิชางานทดลองเครื่องกลที่เราจะต้องทำรายงานขั้นตอนการทดลองในแต่ละสัปดาห์ ผมจึลเกิดไอเดียในการใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปขั้นตอนการทดลองแล้วพิมพ์รูปถ่ายสีลงบนกระดาษ A4 แล้วเอามาขายเพื่อนๆ ในห้องเรียน แผ่นละ 20 เพื่อใช้ประกอบการทำรายงาน ข้อดีคือผมเป็นคนผูกขาดการถ่ายรูป เหตุผลง่ายๆครับ เพราะผมใช้โทรศัพท์ที่ถ่ายรูปได้แต่จะว่าไป เพื่อนๆ หลายคนก็มีโทรศัพท์ที่ถ่ายรูปได้เหมือนกับของผม แต่มีผมคนเดียวที่สามารถเอารูปที่ถ่ายไว้ในโทรศัพท์  พิมพ์ออกมาเป็นสีลงกระดาษ A4 ได้อยู่คนเดียว ฮาไหมละ 55555 ไม่รู้มันยากตรงไหน  แต่ก็มีคนที้่มีโทรศัพท์ถ่ายรูปได้แต่เขาไม่ทำก็เพราะคงคิดว่า "ไหนๆ มึงก็ต้องทำอยู่แล้ว กูรอซื้อของมึงน่าจะง่ายกว่าเยอะ แค่ 20 บาทเอง " กำไรที่เป็นเงินสดในแต่ละสัปดาห์ทำให้ผมสามารถซื้อของกินอร่อยๆ ได้ แต่ถ้าบางสัปดาห์ไม่มีการทดลองและทำรายงาน ผมก็ขายรูปไม่ได้เงินก็น้อยลง  แต่ผมก็ยังคงใช้สูตรการบริหารเงินแบบควบคุมรายสัปดาห์อย่างเคร่งครัด และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็มักจะแวะเวียนมาให้ผมได้ลิ้มลองทุกสัปดาห์แม้ใจจริงจะไม่ค่อยอยากกินสักเท่าไหร่ 

จนกระทั่งได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี โชคดีที่ผมพอจะเล่นดนตรีเป็นอยู่บ้างก็เลยได้มาทำงานประจำ มาเป็นมือเบสของวงจนกระทั่งปัจจุบันนี้ และเจ้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ก็ได้ห่างหายไปจากชีวิตผมนานแสนนานทีเดียวเพราะรายได้ตอนนั้นทำให้ผมมีความมั่นคงทางการเงินสูงในระดับหนึ่งทีเดียว และสามารถส่งตัวเองเรียนจนจบระดับปริญญาตรีได้แบบสบายๆ 

                                                                      ............................
หลังจากนั่งรำลึกความหลังอยู่นาน ก็กดน้ำร้อนลงในถ้วยบะหมี่ด้วยความรู้สึกที่คล้ายๆ กับช่วงชีวิตที่ผ่านมา ... ตอนนี้ผมมีรายได้ 3x,xxx บาทต่อเดือน ถือว่าอยู่ในฐานะระดับปานกลาง สามารถที่จะกินอะไรก็ได้ที่อยากกิน 

แต่บะหมี่ถ้วยนี้มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ผมเคยสัมผัส  เพราะผมเห็นตัวผมเองในอนาคตว่าผมต้องหลุดจากวัฏจักรหาเช้ากินค่ำ หรือหาค่ำกินเช้าและใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ไร้พันธะทางการเงิน ฉะนั้นเงินทุกบาทที่ผมหามาได้ในเวลานี้ ผมพร้อมจะลงทุนแบบหมดหน้าตัก ผมพร้อมจะยอมกินเจ้าสิ่งนี้ทุกวัน ถ้ามันทำให้ฝันผมเป็นจริง สถานการณ์ตอนนี้คือ ประหยัดค่าใช้จ่ายแบบสุดพลัง และมุ่งมั่นให้กับการลงทุน  เป้าหมายคือ PTT. เก็บให้ครบจำนวน 1,000 หุ้น 
 

" และแล้วการจำกัดรายจ่ายรายสัปดาห์เหมือนสมัยเรียนหนังสือ ก็ได้หวนกลับมาหาผมอีกครั้งหนึ่ง "