Tuesday, November 12, 2013

ต้องอดทน !!!



มาม่าถ้วยนี้ทำให้ผมย้อนรำลึกไปถึงสมัยที้่ยังเรียนหนังสือ ตอนที่ยังอาศัยอยู่บ้านญาติ จำได้ว่าผมได้เงินค่าขนมเดือนละ 3,000 บาทจากพ่อทุกเดือน และเงินค่าเทอมจะได้รับทุกๆเทอมแยกต่างหาก ตามแต่จำนวนที่ทางสถาบันศึกษาจะเรียกเก็บ 

สมัยมัธยมต้น ป้าผมเคยพาไปรับจ๊อบทำงานเป็นเด็กปั้มน้ำมัน ESSO ที่อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี  หน้าที่คือ บีบหัวจ่าย ขายน้ำมันให้กับลูกค้าที่เข้ามาในปั้ม เข้างาน 17.00-01.00 น. และปิดปั้มนอน และจะเปิดปั้มทำงานอีกทีตอน 04.30-07.00 น. (สมัยนั้นปั้มน้ำมันสามารถเปิดได้ดึกมาก) หลังจากเปลี่ยนกะตอน 07.00 น. ก็เดินทางไปเรียนต่อ  และชีวิตจะเป็นแบบนี้สัปดาห์ละ 3-4 วัน ได้ค่าตัววันละ 100 บาท และหากมารวมกับค่าขนมที่พ่อโอนมาให้เดือนละ 3,000 บาทก็ ถือว่าเยอะมากกกกกกก สำหรับผมในอายุช่วงนั้น


ส่วนการจัดการเงินสดในมือของผมในอายุช่วงนั้นจะบริหารเงินต่อสัปดาห์ กล่าวคือ หากวางแผนการใช้เงินอยู่ที่สัปดาห์ละ 700 บาท ก็จะใช้เงินไม่มีการเกินไปแม้แต่บาทเดียวในทุกๆ สัปดาห์ เช่น ผมใช้เงินมาถึงวันที่ 6 ของเดือน เป็นจำนวน 690 บาท ในวันพรุ่งนี้ ผมต้องใช้เงินเพียง 10 บาทเท่านั้นนี่คือวินัย จึงจะไม่เกินข้อจำกัดที่ว่งแผนไว้  ซึ่ง ณ ตอนนั้นผมจะมีเงินสดเหลือในมืออีก 2,200 บาทก็ตาม การทำแบบนี้จะทำให้ไม่เกิดดินพอกหางหมูทางการใช้เงิน และผลลัพท์ที่ผมได้ก็คือ อาการชักหน้าไม่ถึงหลังในแต่ะเดือนนั้นไม่มีอีกเลย เพราะเรากำจัดมันทุกสัปดาห์ไปแล้วนั่นเองและทางออกสำหรับอาหาร 10 บาท คงต้องยกให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้เลย ผมแค่คิดว่า ผมคงไม่สามารถกินมาม่าติดต่อกัน 4 วันได้ แต่ผมสามารถกินมาม่าสัปดาห์ละ1 วัน จำนวน 4สัปดาห์ได้


พอมาเรียน ปวช. ที่โรงเรียนสุราษฎร์เทคโนโลยีช่างอุตสาหกรรม หรือเรียกสั้นๆ ว่า เทคโน บางกุ้ง  ตัวผมก็ยังเป็นเด็กปั้มอยู่ แต่จะไปขายนำ้มันบ้างก็ตอนที่พนักงานประจำที่ปั้มลาหยุด ผมจึงไม่ได้ขายบ่อยแล้ว ซึ่งหากใช้แค่เงินค่าขนมทางบ้านไม่มีทางพอครับเพราะรายได้ลดลง  เผอิญมีเพื่อนสนิทก็ได้เอ่ยปากชวนให้ไปทำงานช่วยยกเครื่องเสียงเล่นตามงานแต่งงานในโรงแรมต่างๆ เช่น โรงแรมวังใต้ โรงแรมไดมอนด์ ทำให้มีรายได้เพิ่มมาอีกหนึ่งทาง ส่วนรายได้ทางที่สองของผมในสมัยเรียน ปวช. คือ รับจ้างเขียนแบบเครื่องกลให้เพื่อนๆ ขายในราคาแผ่นละ 20 บาท ตอนแรกก็แค่รับงานทำแค่เฉพาะเพื่อนๆ ในห้องเรียนด้วยกัน ทำให้ผมมีเงินสดติดกระเป๋าในทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 5xx บาท ขึ้นไปสำหรับในช่วงสามสัปดาห์แรกของการเปิดเทอม เพื่อนๆในห้องก็เริ่มจะชอบและผูกขาดกับผมทุกครั้งเพราะจ้างผมเขียนแล้วอาจารย์จับไม่ได้ ผมสร้างความต่างด้วยลายเส้น น้ำหนักเส้น ความเข้มดินสอ และระดับความสะอาดของงานเป็นจุดขายให้แต่ละคนไม่มีซ้ำกัน  เกิดเป็นการพูดกันปากต่อปาก จาก ปวช. ช่างยนต์แค่ห้องเดียว ทีนี้ลุกลามไปทั้งแผนกช่างยนต์ (มีทั้งหมด 5 ห้อง)  แต่ละห้องก็จะมีคนที่เอางานมาให้ผมทำไม่ต่ำกว่า 15 งาน เพราะฉะนั้นขั้นต่ำของรายได้แต่ละสัปดาห์อยู่ที่ 1,5xx บาทขึ้นไป ยังไม่พอครับ งานนี้เกิดการข้ามแผนก เพราะมีการค้นพบกันว่า ทุกสายช่างต้องเรียนวิชาเขียนนี้เป็นพื้นฐานเหมือนกันหมดทุกคน  ก็เริ่มมีงานจากแผนกอิเล็กทรอนิกส์ และช่างกลโรงงานมา ...

ผมยังจำได้จนทุกวันนี้เลยครับ ว่าอาจารย์ท่านนั้นที่สอนเขียนแบบชื่อ อาจารย์ คำรณ ฤทธิกัน .... จนเมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงปลายๆภาคเรียน งานก็ยากขึ้นและเวลาก็จำกัด ผมจึงต้องเขียนแบบด้วยความเร็ว แน่นอนว่าทุกงานออกมาก็ต้องเหมือนกันหมดเพื่อให้ทันเวลา ทำให้อาจารย์เริ่มสงสัยว่ามีมือปืนรับจ้างเขียนแบบลายเส้นแบบเดียว น้ำหนักแบบเดียว ต่างแค่ความเข้มดินสอ จนท่านได้ไปเค้นความจริงจากเพื่อนผมที่แผนกช่างกลโรงงาน ผมจึงต้องหยุดและหารายได้จากงานยกเครื่องเสียงเพียงอย่างเดียว



ถัดมาในสมัยเรียนปวส. ที่วิทยลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานีเป็นช่วงอายุของผมที่โชคดีเพราะคุณพ่อเอาโทรศัพท์ที่สามารถถ่ายรูปได้มาให้ใช้ ยี่ห้อ PANASONIC GD88 สีบรอนซ์ (ในตอนนั้นถือว่าเป็นกระแสที่ฮิตมากในหมู่วัยรุ่นเมืองไทย) ประกอบกับมีวิชางานทดลองเครื่องกลที่เราจะต้องทำรายงานขั้นตอนการทดลองในแต่ละสัปดาห์ ผมจึลเกิดไอเดียในการใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปขั้นตอนการทดลองแล้วพิมพ์รูปถ่ายสีลงบนกระดาษ A4 แล้วเอามาขายเพื่อนๆ ในห้องเรียน แผ่นละ 20 เพื่อใช้ประกอบการทำรายงาน ข้อดีคือผมเป็นคนผูกขาดการถ่ายรูป เหตุผลง่ายๆครับ เพราะผมใช้โทรศัพท์ที่ถ่ายรูปได้แต่จะว่าไป เพื่อนๆ หลายคนก็มีโทรศัพท์ที่ถ่ายรูปได้เหมือนกับของผม แต่มีผมคนเดียวที่สามารถเอารูปที่ถ่ายไว้ในโทรศัพท์  พิมพ์ออกมาเป็นสีลงกระดาษ A4 ได้อยู่คนเดียว ฮาไหมละ 55555 ไม่รู้มันยากตรงไหน  แต่ก็มีคนที้่มีโทรศัพท์ถ่ายรูปได้แต่เขาไม่ทำก็เพราะคงคิดว่า "ไหนๆ มึงก็ต้องทำอยู่แล้ว กูรอซื้อของมึงน่าจะง่ายกว่าเยอะ แค่ 20 บาทเอง " กำไรที่เป็นเงินสดในแต่ละสัปดาห์ทำให้ผมสามารถซื้อของกินอร่อยๆ ได้ แต่ถ้าบางสัปดาห์ไม่มีการทดลองและทำรายงาน ผมก็ขายรูปไม่ได้เงินก็น้อยลง  แต่ผมก็ยังคงใช้สูตรการบริหารเงินแบบควบคุมรายสัปดาห์อย่างเคร่งครัด และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็มักจะแวะเวียนมาให้ผมได้ลิ้มลองทุกสัปดาห์แม้ใจจริงจะไม่ค่อยอยากกินสักเท่าไหร่ 

จนกระทั่งได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี โชคดีที่ผมพอจะเล่นดนตรีเป็นอยู่บ้างก็เลยได้มาทำงานประจำ มาเป็นมือเบสของวงจนกระทั่งปัจจุบันนี้ และเจ้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ก็ได้ห่างหายไปจากชีวิตผมนานแสนนานทีเดียวเพราะรายได้ตอนนั้นทำให้ผมมีความมั่นคงทางการเงินสูงในระดับหนึ่งทีเดียว และสามารถส่งตัวเองเรียนจนจบระดับปริญญาตรีได้แบบสบายๆ 

                                                                      ............................
หลังจากนั่งรำลึกความหลังอยู่นาน ก็กดน้ำร้อนลงในถ้วยบะหมี่ด้วยความรู้สึกที่คล้ายๆ กับช่วงชีวิตที่ผ่านมา ... ตอนนี้ผมมีรายได้ 3x,xxx บาทต่อเดือน ถือว่าอยู่ในฐานะระดับปานกลาง สามารถที่จะกินอะไรก็ได้ที่อยากกิน 

แต่บะหมี่ถ้วยนี้มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ผมเคยสัมผัส  เพราะผมเห็นตัวผมเองในอนาคตว่าผมต้องหลุดจากวัฏจักรหาเช้ากินค่ำ หรือหาค่ำกินเช้าและใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ไร้พันธะทางการเงิน ฉะนั้นเงินทุกบาทที่ผมหามาได้ในเวลานี้ ผมพร้อมจะลงทุนแบบหมดหน้าตัก ผมพร้อมจะยอมกินเจ้าสิ่งนี้ทุกวัน ถ้ามันทำให้ฝันผมเป็นจริง สถานการณ์ตอนนี้คือ ประหยัดค่าใช้จ่ายแบบสุดพลัง และมุ่งมั่นให้กับการลงทุน  เป้าหมายคือ PTT. เก็บให้ครบจำนวน 1,000 หุ้น 
 

" และแล้วการจำกัดรายจ่ายรายสัปดาห์เหมือนสมัยเรียนหนังสือ ก็ได้หวนกลับมาหาผมอีกครั้งหนึ่ง "




No comments: