หากไม่รวมเอาธุรกิจมูลค่าเกิน 1,000,000 บาท แล้วละก็ ธุรกิจเล็กในสุราษฎร์ธานีทุกวันนี้ที่ผมเห็นการเจริญเติบโตมากที่สุดคือ ร้านขายเสื้อผ้า และร้านขายกาแฟโดยเฉพาะกาแฟโบราณ
ความเหมือนย่อมต้องมีราคาครับ และราคาที่เราต้องจ่ายให้กับการที่ต้องทำอะไรเหมือนๆกับคนอื่นๆ คือก็คือการต้องแข่งขันกับสินค้าแบรนด์เดียวกันในสาขาอื่นๆ หรือสาขาใกล้เคียง เรียกง่ายๆว่า แข่งกันเอง เราอาจจะขายสินค้าที่คนจำนวนมากนิยมก็จริง แต่มีคนขายเหมือนเราสัก 20 สาขา ส่วนแบ่งก็ถูกแบ่งกระจายออกไป ทำให้รายได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนที่เคยได้ตอนในอดีตสักเท่าไหร่
ขอแนะนำมุมมองของผมสักนิดละกันครับ สิ่งที่ทำให้เราลอยตัวอยู่เหนือการแข่งขันได้คือ ความแตกต่าง ผมยินดีที่จะขายสินค้าที่คนมองว่ามันแปลกไม่เหมือนใคร และไม่มีใครขาย หรือขายกันน้อย เพราะอะไร???
เพราะถ้าผมขายสินค้าที่ใครๆเขาก็ขายกัน ผมต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสิ่งที่ผมขาย มันน่าสนใจและไม่เหมือนใครอยู่ดี
แล้วถ้าเราคิดแบบนี้แต่แรก งั้นก็ขายในสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครขาย หรือหาซื้อยาก มีคนขายกันน้อย เท่านั้นก็จบแล้วครับ
ขอยกตัวอย่างกาเฟโบราณ ฉุย ในสุราษฎร์ธานีตอนนี้ เป็นกาแฟระบบเฟรนไชส์ที่มีไม่รู้กี่สาขา ข้อดีคือ เจ้าของเฟรนไชส์ได้รับอานิสงค์ไปแบบเต็มๆ ส่วนการแข่งขันก็ตกมาอยู่กับผู้ขายแต่ละสาขาที่นอกจากจะต้องสู้กับคู่แข่งคนละแบรนด์แล้ว ยังต้องมาแข่งกับคู่แข่งแบรนด์เดียวกันอีกด้วย
เพราะฉะนั้น ผมขอตั้งสมมุติฐานในมุมมองของผมเองให้ดูนะครับ อาจจะมีจำนวนลูกค้ากินกาแฟ 100 คนต่อวัน กระจายกันอุดหนุนร้านกาแฟโบราณที่มีแค่ 2 สาขา ไม่เกี่ยวกับกาแฟเจ้าอื่นนะ เอาแค่กาแฟฉุย ในพื้นที่ระดับตำบล ส่วนแบ่งก็แฟร์ๆครับอยู่ที่ 50 คนต่อสาขา
แต่ขายๆไป เกิดขายดีมากๆ จนกระทั่งร้านเสริมสวยหรืออากง หรือเพื่อนบ้านข้างๆ เมื่อมองเห็นแล้วก็คิดว่่า "กาแฟโบราณมันขายดีจริงๆวะ แถมยังทำไม่ยาก ขายกันก็แทบจะไม่มีเวลานับเงินกันเลย เราน่าจะซื้อเฟรนไชส์มาขายบ้างดีกว่าจะได้รวยๆ " ทีนี้เกิดการขยายสาขาจาก 2 ในระดับตำบล กลายมาเป็น 20 สาขาในระดับตำบลทันที เพราะของที่รู้ว่าขายดีใครๆก็อยากเปิดขาย ส่วนแบ่งการตลาดหากคิดกันแบบเลขตรงๆ แต่ละสาขาก็จะมียอดขายที่ 5 คนต่อสาขา แต่ในความเป็นจริงก็คือกาแฟโบราณเป็นเครื่องดื่มที่ใครๆก็กินได้ครับ สัดส่วน 5 คนต่อสาขามันน้อยไปแต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ประเด็นคือ กาแฟโบราณขยายสาขาจาก 2 เป็น 20 สาขา นับได้ว่าเป็น 10 เท่าตัว แล้วสามารถทำให้จำนวนคนในพื้นที่หนึ่งๆ หันมากินกาแฟเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าตัวได้อย่างไร อันนี้คือประเด็นคำถามที่ผมคิดเสมอเวลาขับรถผ่านร้านกาแฟต่างๆ ผมเชื่อว่าไม่มีใครกินกาแฟทุกวันและในวันที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ก็ยังมีกาแฟฉุยเปิดสาขาใหม่ในบริเวณใกล้เคียงกับสาขาเดิม นี่ยังไม่ทันนับกาแฟโบราณเจ้าอื่นอีกนะ
หากคนซื้อติดใจแบรนด์ฉุยแล้วละก็ ลูกค้าก็คงจะหาซื้อกาแฟฉุยที่มีสาขาตั้งอยู่ใกล้บ้านจะไม่ดีกว่าหรือ เช่น ผมอาจจะติดใจรสชาติของกาแฟเย็นฉุยสาขาซอย 50 แต่เมื่อรู้่ว่าผมสามารถหาซื้อกาแฟเย็นฉุยที่ปากซอย 20 ซึ่งห่างจากบ้านผมแค่ไม่กี่ก้าว คิดว่าผมจะซื้อกาแฟเย็นร้านไหนละครับ
หรืออาจะเดินทางไปที่ไหนสักที่นึงแล้วผ่านร้านกาแฟ เกิดแฟนของผมเผอิญอยากกินกาแฟฉุย แต่บอกให้ผมจอดรถเพื่อหยุดซื้อไม่ทัน ผมก็คงจะบอกแฟนผมไปว่า "ไม่เป็นไรหรอกตัวเอง เพราะถัดไปอีกซอยนึงก็มีขายเหมือนกัน"
อันนี้คือความเห็นส่วนตัวผมนะครับ ขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่าผมอาจจะไม่รู้ข้อมูลเชิงลึกสักเท่าไหร่ ทุกอย่างวิเคราะห์ผ่านสายตาและวิจารณญาณของผมแทบทั้งสิ้นครับ
หากเราริเริ่มหรือหาความต่างมานำเสนอ ไม่ต้องพิสดารมากหรอกครับ แต่ให้มันดูยากๆแค่พอให้ไม่เกิดคู่แข่งขึ้นมาแบบง่ายเกินไปก็พอ และให้มีจุดเด่นเล็กๆ ไว้ยืนในใจลูกค้า ก็พอแล้วครับ และยิ่งตลาดนัดที่เปรียบเสมือนเวทีเล็กๆ ที่เราสามารถสังเกตให้ทั่วถึงได้แบบง่ายดายว่าอะไรคือสิ่งที่ขาด หรือยังไม่มีใครนำเสนอ นั่นอาจจะเป็นโอกาสที่รอคุณอยู่ก็เป็นได้นะครับ
" เพราะความแตกต่างคือกุญแจสำคัญ (กว่าสินค้า) "