Thursday, January 23, 2014

ตรวจสอบคู่แข่งว่าเค้าทำอะไรอยู่

วันนี้หยุดขายหนึ่งวันครับ แ่ไม่ได้หยุดเฉยๆนะ ผมใช้โอกาสนี้ไปสำรวจคู่แข่งว่ามีใครบ้าง ทำอะไรอยู่ที่ไหน ขายยังไง ซึ่งก็ไปเจอที่ตลาดสำเภาทองอยู่เจ้านึงครับ ก็เลยจอดรถอยู่ไกลๆ แล้วนั่งดูอยู่้ห่างๆ อย่างห่วงๆ 




ถ้าเปรียบเทียบข้อเด่นข้อด้อยเท่าที่ผมมองสิ่งที่เขาได้เปรียบคือ 

1 ราคา คู่แข่งขายไม้ละ 15 บาทในขณะที่ผม ขายไม้ละ 20 บาท หากต้องมาตั้งแผงติดกันแล้วละก็ นี่คือข้อแตกต่างที่ลูกค้าเห็นได้ชัดเจน พี่เณรบูน มากที่สุดข้อนึง  ถามว่าเมื่อรู้แบบนี้แล้วควรจะขายลดราคาลงมาหรือเปล่า คำตอบของผมคือ ไม่ครับ ผมจะไม่ขายสายไหมต่ำกว่าไม้ละ 20 บาทอย่างแน่นอน บางคนบอกว่าขายไม้ละ 10 บาทก็ยังมีกำไรอยู่นะ ถ้าคิดแบบนี้เท่ากับคุณฆ่าตัวคุณเองครับเพราะถ้าลดราคาลงมาครึ่งนึงก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะขายดีเพิ่มขึ้นเท่าตัวสักหน่อย และอีกอย่างนึงผมว่าตัวเลข 20 บาทถือเป็นตัวเลขที่ซื้อง่ายขายคล่อง ลูกค้าสามารถจ่ายเงินโดยใช้ความคิดน่้อยกว่าความอยากเมื่อรู้ว่า "มันก็แค่ 20 บาทเองนะ" 


2 ขนาดของไม้่สายไหม  นี่คืออีกข้อนึงที่ผมลังเลว่าจะเปลี่ยนมาใช้อันที่สวยๆ ใหญ่ๆ กว่าเดิมดีไหม แต่คิดๆดูแล้วมันก็ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้เกิดความแตกต่างสักเท่าไหร่ มีไม้สวยแต่สุดท้ายก็เห็นแต่สายไหมอยู่ดี ปั่นกลมๆ เหมือนกันทั่วประเทศ 

นั่นคือ ถ้าผมจะขายสายไหมในราคาที่แพงกว่า ผมต้องยกระดับคุณภาพการขายและรูปแบบการนำเสนอของสายไหมให้คุ้มค่าพอที่ลูกค้าจะยอมจ่ายแพงกว่าอีกแค่ 5 บาทเพื่อซื้อของๆ ผม ... แล้วกูจะทำไงว่ะ แค่สายไหมมันจะพลิกแพลงอะไรได้อีก 


"ก็แค่ขายให้ราคาเท่ากันกับคู่แข่งแล้วปั่นให้เยอะกว่าคู่แข่งแค่นี้ก็พอแล้ว"

หากคิดแบบนี้ ผมไปถามเด็ก ป.4 เอาก็ได้ครับ

ขอไปนอนคิดคืนนึงละกัน









Monday, January 20, 2014

ทริปเล็กๆิเกี่ยวกับการป้องกันหลอดไฟแตกระหว่างขนย้ายไปตลาดนัด

บทความนี้จะพูดถึงอะไรที่ง่ายๆ สั้นๆ เกี่ยวกับการเก็บรักษาหลอดไฟในระหว่างการเดินทางไปขายของตลาดนัดครับ

ปัญหาที่มักเกิดขึ้นในช่วงแรกของการเริ่มต้น ก็คือผมมักจะรวมหลอดไฟทั้งหมดไว้ในกล่องเดียวกัน เวลาขนย้ายไปตามเส้นทางที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ แรงเขย่าจากการเดินทางส่งผลมาถึงหลอดไฟในกล่องของผม ... ใช่ครับ มันแตกไปหนึ่งหลอด และถ้าไม่คิดป้องกันอะไรสักอย่าง รับรองว่าหลอดไฟคงจะแตกหมดในเวลาไม่นานแน่นอน   บังเอิญผมชอบซื้อนมลดราคาตามร้านสะดวกซื้อแล้วเก็บขวดได้ประมาณนึง ก็เลยดัดแปลงขวดนมเหล่านี้โดยตัดหัวขวดออกไปนิดนึง และบากขวดให้หลอดไฟผ่านเข้าไปในขวดได้ แค่นี้ก็ทำให้หลอดไฟรอดพ้นจากแรงสะเทือส อุ่นใจขึ้นเยอะครับ



วิธีนี้สามารถเอาไประยุคกับการใช้งานในแบบต่างๆได้ไม่จำกัดแค่เฉพาะตลาดนัดนะครับ ลองดู

Sunday, January 19, 2014

ประยุกต์และดัดแปลงใช้สิ่งที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลงทุนและจ่ายเงินให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด

การขายของตลาดนัดหรือตลาดไม่นัดก็ตามมันต้องมีกำไรที่คุ้มค่าพอ และต้องสามารถเป็นไปตามแผนการเงินที่ผมวางเอาไว้คือ ต้องคืนทุนหมดภายใน 50 วัน  และสิ่งที่ทำต่อมาคือการแก้ปัญหาหลายๆอย่างโดยที่เราจะต้องไม่ใช้เงิน อิอิ ไม่ได้ตลกครับและไม่ใช่เรื่องตลกด้วย  โจทย์คือ "ไม่ใช้เงิน" จะต้องใช้แต่สิ่งที่มีหรือสิ่งที่ไม่เสียเงินเท่านั้นหรือหากจะเสียเงินต้อง"เสียเงินให้น้อยที่สุด"แต่ต้องได้ผลลัพธ์ที่"คุ้มค่าแบบสุดๆ"   

การแก้ปัญหาอันแรกคือ เรื่องของโต๊ะที่ใช้วางเครื่องสายไหมในตลาดนัด วันแรกๆ ที่ขาย ผมตั้งเครื่องทำสายไหมไว้บนแผงไม้ไผ่ที่วางบนแผงเหล็กอีกทีหนึ่ง ผลก็คือ มันสูงเกินไปที่จะปั่นขาย สาเหตุเพราะว่าลืมคิดถึงตอนที่ต้องขายจริงๆว่าระดับความสูงที่เหมาะสมคือต้องเป็นระดับที่ลูกค้าสามารถมองเห็นกระบวนการทำสายไหมและตื่นตาตื่นใจกับใยสายไหมที่กำลังเกาะไม้จนกระทั่งก้อนโตกลม ซึ่งในรูปนี้คือวันแรกที่ผมไปขาย  เครื่องอยู่ในระดับที่สูงมากกกกกกกกกก 




ขนาดผู้ใหญ่ยังต้องชะเง้อและเขย่งขาเพื่อมอง นับว่าสูงเกินไป โจทย์ข้อแรกคือต้องลดระดับความสูงลงโดยที่เราต้องไม่มีการลงทุนเพิ่ม อืมมมม .... มันเป็นไปได้นะครับ ดวงจันทร์มนุษย์ก็ไปเหยียบมาแล้ว นับประสาอะไรกับปัญหาแค่นี้ ก็จัดการนั่งคิดนอนคิดเอาแผงเหล็กมาประกอบแล้วนั่งดูมันทุกมิติ เอ้ย ... มันก็เป็นแค่โครงเหล็กกลวงๆที่สามารถจะเอาอะไรใส่ไว้ข้างในได้ หรือสามารถเอาไปประกอบครอบล้อมสิ่งใดก็ได้นี่นา  ว่าแล้วก็จัดการวางตัวเครื่องและประกอบโครงเหล็ก ผลลัพธ์จากไอเดียที่ได้ค่อนข้างน่าพอใจ 



และนี่คือสภาพการใช้งานจริงๆ ครับ ไม่ว่าจะเด็กเล็กหรือผู้ใหญ่ก็สามารถมองเห็นกระบวนการทำสายนไหมภายในโคมสแตนเลสได้อย่างชัดเจน เพียงแค่ใช้จุดเด่นของโครงเหล็กที่เป็นโครงและกลวง ก็วางเครื่องทำสายไหมไว้ภายในได้แบบสบายๆ  ส่วนแผงซี่ไม้ไผ่ที่ซื้อมาเมื่อตอนแรกคงต้องเก็บเข้ากรุไปตามระเบียบรอวันหน้าเผื่อจะได้เอามาใช้ประโยชน์อย่างอื่นอีก



อันนี้คือโจทย์ที่ไม่ยากครับ แต่ที่ยากคือ ต้องสามารถขนย้ายอุปกรณ์ทุกอย่างจากบ้านไปยังตลาดนัดโดยใช้มอเตอร์ไซค์คันเดียวนี่คือโจทย์ข้อที่สอง


หลายๆท่านยุและเชียร์ให้ผมซื้อรถพ่วงข้างหรือรถยนต์เพื่อเอาไว้บรรทุกอุปกรณ์ไปตลาดนัดเพราะมันเยอะมาก เครื่องสายไหมก็หนัก อุปกรณ์ต่างๆก็เยอะแยะมากมาย บางคนก็แนะนำว่าขายผ้ามือสองจะดีกว่าไหมเพราะเราสามารถใช้มอเตอร์ไซค์ขนย้ายได้ง่ายกว่า ผมจึงบอกพวกเค้าไปว่าผมจะเป็นคนแรกที่ขายสายไหมโดยใช้แค่มอเตอร์ไซค์แบบไม่ต่อพ่วงข้างให้ดู   ไปดวงจันทร์มนุษย์ก็ทำได้มาแล้ว นี่จะมาจนปัญญากับการขนอุปกรณ์เครื่องทำสายไหมไปตลาดนัดแค่นี้หรือ....

เมื่อตอนเริ่มต้นขายได้สามวันแรกนั้น ผมอาศัยรถยนต์ของพี่ชายในการขนย้ายทุกครั้ง  และก็หยุดขายประมาณครึ่งเดือน เพราะผมเอารถมอเตอร์ไซค์ไปต่อเติมโครงเหล็กด้านหลังเพิ่มเพื่อใช้วางเครื่องทำสายไหมโดยเฉพาะครับ เพราะผมประเมินดูแล้วว่าถ้าเป็นรถมอเตอร์ไซค์ธรรมดาๆ หากต้องขนอุปกรณ์ต่างๆ โดยไม่มีเครื่องทำสายไหมนั้น สามารถขนย้ายได้หมดโดยใช้มอเตอร์ไซค์คันเดียวได้แบบสบายๆ ถ้าต่อเติมก็ต้องต่อเติมความยาวด้านหลังออกไปเพิ่มอีกเป็นพิเศษเพื่อวางเครื่องทำสายไหมโดยเฉพาะ เท่านี้ก็จบ ส่วนราคาค่าต่อเติมนั้นถือว่าไม่แพงครับหากเทียบกับการหลุดข้อจำกัดจากที่ต้องใช้รถพ่วงข้างหรือรถยนต์ขนย้ายให้สามารถใช้มอเตอร์ไซค์เพียงคันเดียวมาขนย้ายอุปกรณ์ต่างๆ ได้แบบสบายๆ 


นี่คือรูปก่อนที่จะดัดแปลงเพิ่มพื้นที่วางเครื่องสายไหมด้านหลัง 


และนี่คือรูปหลังจากต่อเติมโครงเหล็กเพื่อวางสายไหม 





เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกันนะครับ จริงๆ มันมีอะไรจิปาถะอีกเยอะแต่เลืกมาเฉพาะที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านและสามารถประยุกต์เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้แบบจริงๆ  



 

Wednesday, January 15, 2014

ตัดสินใจได้แล้วว่า ผมจะขาย...........

เช้าที่เร่งรีบวันหนึ่ง ผมยืนอยู่หน้าตู้ ATM เพิ่งทำการโอนเงินไปยังเลขบัญชีให้กับบริษัทแห่งหนึ่งเสร็จพอดี เงินที่โอนไป คือเงินที่ผมสั่งซื้อเครื่องทำสายไหมครับ และก็แอบหัวใจรู้สึกกลัวที่จะโดนหลอกมากๆ ครับ ปกติก็ไม่ค่อยจะโอนเงินให้คนที่ไม่รู้จักได้ง่ายๆอยู่แล้ว  

เหตุผลที่เลือกขายสายไหมก็เพราะว่า เป็นสินค้าที่เข้าเงื่อนไข"เกือบ" ทุกอย่างครับ ถ้าอยากจะรู้ว่าเงื่อนไขที่ผมวางไว้นั้นมีีอะไรบ้างก็สามารถคลิกลิงค์นี้ได้เลย http://pongtawit.blogspot.com/2013/11/7.html


ก่อนที่ผมจะสั่งซื้อไอเจ้าเครื่องสายไหม ก็ได้ลองหาข้อมูลเกี่ยวประเภทและชนิด ซึ่งสามารถแบ่งให้เห็นความแตกต่างได้ 2 รูปแบบ คือ
1. เครื่องทำสายไหมแบบใช้แก็ส ประเภทนี้เป็นเครื่องที่ใช้แก็สหุงต้มเป็นเชื้อเพลิงแต่จะว่าไปก็ยังคงต้องใช้ไฟฟ้าเพื่อไปขับมอเตอร์ให้หัวเครื่องสายไหมหมุนอยู่ดี ข้อดีคือสามารถให้ความร้อนได้ดีกว่าเพราะเป็นระบบแก็ส ส่วนข้อเสียคือชิ้นส่วนเยอะเพราะต้องมีตัวเครื่อง ถึังแก้ส
2. เครื่องทำสายไหมแบบใช้ไฟฟ้า เป็นประเภที่ผมสนใจเพราะทั้งตัวมอเตอร์และตัวทำความร้อนล้วนใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งสิ้น แถมกะทัดรัด เหมาะแก่การขนย้าย


ส่วนเจ้าเครื่องนี้คือ เครื่องทำสายไหมแบบใช้ไฟฟ้าครับ สินค้ามาถึงหน้าบ้านปุ๊บ ยกเข้ามาในบ้านปั๊บ ไม่เกินสองนาทีผมจัดการชำแหละเพื่อดูว่าหลักการทำงานและอุปกรณ์ภายในของมัน มีอะไรบ้าง ส่วนเหตุผลที่ผมแกะรื้อเครื่องทำสายไหมป้ายแดงเครื่องนี้มีเหตุผลเดียวครับคือผม  ...กลัว...   และสิ่งที่จะทำลายความกลัวได้แบบสิ้นซากคือ ความรู้ครับ นี่คือหลักการที่ผมใช้มาตลอด ไม่รู้หรือกลัวอะไร  ต้องศึกษาว่าที่เรากลัวอยู่เนี่ยเรากลัวอะไร กลัวว่าปถุ่มแดงๆ สองปุ่มนี้กดผิดปุ่มมันจะพังหรือป่าว กลัวว่ามันจะมีโอกาสระเบิดหรือป่าว กลัวว่าใช้งานไปแล้วเกิดไฟรั่วขึ้นมาจะช๊อตเราตายคาเครื่องทำสายไหมจะทำไง   นี่คือความคิดผมและตอนนี้กำลังหาึคำตอบให้คำถามครับ



พอรื้อออกมาดูมันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษสักเท่าไรเลย กลไกก็มีแค่ มอเตอร์พัดลม ฮีตเตอร์ และเทอร์โมสตัท แคนี้เองครับจะอธิบายให้ฟังคร่าวๆ 

ทันทีที่เปิดสวิตซ์ครื่องปุ๊บ "มอเตอร์"จะหมุนทันที แต่เครื่องจะยังไม่ร้อนจนกระทั่งเราเปิดสวิตซ์ตัวที่สองคือ

สวิตซ์"ฮีตเตอร์" และเทอร์โมสตัทจะคอยควบคุมความร้อนของฮีตเตอร์ไม่ให้ร้อนเกินไป หากอุณหภูมิสูงเกิน ก็จะลดกระแสไฟที่จ่ายไปยังฮีตเตอร์  แต่ถ้าอุณหภูมิต่ำเกินไปก็จะจ่ายไฟเพิ่มไปยังฮีตเตอร์เพื่อรักษาอุณหภูมิให้ร้อนคงที่อยู่เสมอ  

หากยังนึกไม่ออกว่า"เทอร์โมสตัท" สั่งงานและควบคุมฮีตเตอร์ยังไงก็ให้ดูกาน้ำร้อนที่บ้านครับ หากน้ำเย็นมันจะสั่งให้กาน้ำร้อนต้มน้ำให้ร้อนโดยไฟ BOIL จะติดขึ้นมา แต่พอน้ำร้อนแล้วมันจะสั่งให้รักษาอุณหภูมิให้คงที่โดยไฟ WARM จะติดขึ้นมา เป็นต้น

อย่าว่าแต่เครื่องทำสายไหมเลยครับ เครื่องดนตรีผมทุกชิ้น รถมอเตอร์ไซค์ ผมก็ถอดมาหมดแล้ว นับประสาอะไรกับเครื่องทำสายไหม เมื่อรู้แล้วว่าหลักการทำงานคืออะไร ทีนี้ก็เริ่มขั้นตอนต่อมาคือ ซ้อม ซ้อม ซ้อม และก็ซ้อมครับ




Monday, January 13, 2014

ความแตกต่างคือกุญแจสำคัญ

หากไม่รวมเอาธุรกิจมูลค่าเกิน 1,000,000 บาท แล้วละก็ ธุรกิจเล็กในสุราษฎร์ธานีทุกวันนี้ที่ผมเห็นการเจริญเติบโตมากที่สุดคือ ร้านขายเสื้อผ้า และร้านขายกาแฟโดยเฉพาะกาแฟโบราณ 

ความเหมือนย่อมต้องมีราคาครับ  และราคาที่เราต้องจ่ายให้กับการที่ต้องทำอะไรเหมือนๆกับคนอื่นๆ คือก็คือการต้องแข่งขันกับสินค้าแบรนด์เดียวกันในสาขาอื่นๆ หรือสาขาใกล้เคียง เรียกง่ายๆว่า แข่งกันเอง เราอาจจะขายสินค้าที่คนจำนวนมากนิยมก็จริง แต่มีคนขายเหมือนเราสัก 20 สาขา ส่วนแบ่งก็ถูกแบ่งกระจายออกไป ทำให้รายได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนที่เคยได้ตอนในอดีตสักเท่าไหร่

ขอแนะนำมุมมองของผมสักนิดละกันครับ สิ่งที่ทำให้เราลอยตัวอยู่เหนือการแข่งขันได้คือ ความแตกต่าง ผมยินดีที่จะขายสินค้าที่คนมองว่ามันแปลกไม่เหมือนใคร และไม่มีใครขาย หรือขายกันน้อย เพราะอะไร???

 
เพราะถ้าผมขายสินค้าที่ใครๆเขาก็ขายกัน  ผมต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสิ่งที่ผมขาย มันน่าสนใจและไม่เหมือนใครอยู่ดี  

แล้วถ้าเราคิดแบบนี้แต่แรก งั้นก็ขายในสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครขาย หรือหาซื้อยาก มีคนขายกันน้อย เท่านั้นก็จบแล้วครับ


ขอยกตัวอย่างกาเฟโบราณ ฉุย ในสุราษฎร์ธานีตอนนี้ เป็นกาแฟระบบเฟรนไชส์ที่มีไม่รู้กี่สาขา ข้อดีคือ เจ้าของเฟรนไชส์ได้รับอานิสงค์ไปแบบเต็มๆ  ส่วนการแข่งขันก็ตกมาอยู่กับผู้ขายแต่ละสาขาที่นอกจากจะต้องสู้กับคู่แข่งคนละแบรนด์แล้ว ยังต้องมาแข่งกับคู่แข่งแบรนด์เดียวกันอีกด้วย 

เพราะฉะนั้น ผมขอตั้งสมมุติฐานในมุมมองของผมเองให้ดูนะครับ อาจจะมีจำนวนลูกค้ากินกาแฟ 100 คนต่อวัน กระจายกันอุดหนุนร้านกาแฟโบราณที่มีแค่ 2 สาขา ไม่เกี่ยวกับกาแฟเจ้าอื่นนะ เอาแค่กาแฟฉุย ในพื้นที่ระดับตำบล ส่วนแบ่งก็แฟร์ๆครับอยู่ที่ 50 คนต่อสาขา

แต่ขายๆไป เกิดขายดีมากๆ จนกระทั่งร้านเสริมสวยหรืออากง หรือเพื่อนบ้านข้างๆ เมื่อมองเห็นแล้วก็คิดว่่า "กาแฟโบราณมันขายดีจริงๆวะ แถมยังทำไม่ยาก ขายกันก็แทบจะไม่มีเวลานับเงินกันเลย  เราน่าจะซื้อเฟรนไชส์มาขายบ้างดีกว่าจะได้รวยๆ " ทีนี้เกิดการขยายสาขาจาก 2 ในระดับตำบล กลายมาเป็น 20 สาขาในระดับตำบลทันที เพราะของที่รู้ว่าขายดีใครๆก็อยากเปิดขาย ส่วนแบ่งการตลาดหากคิดกันแบบเลขตรงๆ แต่ละสาขาก็จะมียอดขายที่ 5 คนต่อสาขา แต่ในความเป็นจริงก็คือกาแฟโบราณเป็นเครื่องดื่มที่ใครๆก็กินได้ครับ สัดส่วน 5 คนต่อสาขามันน้อยไปแต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ประเด็นคือ กาแฟโบราณขยายสาขาจาก 2 เป็น 20 สาขา นับได้ว่าเป็น 10 เท่าตัว แล้วสามารถทำให้จำนวนคนในพื้นที่หนึ่งๆ หันมากินกาแฟเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าตัวได้อย่างไร อันนี้คือประเด็นคำถามที่ผมคิดเสมอเวลาขับรถผ่านร้านกาแฟต่างๆ ผมเชื่อว่าไม่มีใครกินกาแฟทุกวันและในวันที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ก็ยังมีกาแฟฉุยเปิดสาขาใหม่ในบริเวณใกล้เคียงกับสาขาเดิม นี่ยังไม่ทันนับกาแฟโบราณเจ้าอื่นอีกนะ


หากคนซื้อติดใจแบรนด์ฉุยแล้วละก็ ลูกค้าก็คงจะหาซื้อกาแฟฉุยที่มีสาขาตั้งอยู่ใกล้บ้านจะไม่ดีกว่าหรือ   เช่น ผมอาจจะติดใจรสชาติของกาแฟเย็นฉุยสาขาซอย 50  แต่เมื่อรู้่ว่าผมสามารถหาซื้อกาแฟเย็นฉุยที่ปากซอย 20 ซึ่งห่างจากบ้านผมแค่ไม่กี่ก้าว คิดว่าผมจะซื้อกาแฟเย็นร้านไหนละครับ 
หรืออาจะเดินทางไปที่ไหนสักที่นึงแล้วผ่านร้านกาแฟ เกิดแฟนของผมเผอิญอยากกินกาแฟฉุย แต่บอกให้ผมจอดรถเพื่อหยุดซื้อไม่ทัน ผมก็คงจะบอกแฟนผมไปว่า "ไม่เป็นไรหรอกตัวเอง เพราะถัดไปอีกซอยนึงก็มีขายเหมือนกัน" 



อันนี้คือความเห็นส่วนตัวผมนะครับ ขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่าผมอาจจะไม่รู้ข้อมูลเชิงลึกสักเท่าไหร่ ทุกอย่างวิเคราะห์ผ่านสายตาและวิจารณญาณของผมแทบทั้งสิ้นครับ
 

หากเราริเริ่มหรือหาความต่างมานำเสนอ ไม่ต้องพิสดารมากหรอกครับ แต่ให้มันดูยากๆแค่พอให้ไม่เกิดคู่แข่งขึ้นมาแบบง่ายเกินไปก็พอ และให้มีจุดเด่นเล็กๆ ไว้ยืนในใจลูกค้า ก็พอแล้วครับ และยิ่งตลาดนัดที่เปรียบเสมือนเวทีเล็กๆ ที่เราสามารถสังเกตให้ทั่วถึงได้แบบง่ายดายว่าอะไรคือสิ่งที่ขาด หรือยังไม่มีใครนำเสนอ นั่นอาจจะเป็นโอกาสที่รอคุณอยู่ก็เป็นได้นะครับ 
 
" เพราะความแตกต่างคือกุญแจสำคัญ (กว่าสินค้า) "