Thursday, December 27, 2012

เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน

             การที่เรารู้จักมักจี่    มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับคนหลาย ๆ  คนในวงการอาชีพเดียวกันนั้นนับได้ว่าเปรียบเสมือนมีแหล่งข้อมูลจากหลาย ๆ   ทาง   ทำให้เรากลายเป็นคนหูไวตาไวมากขึ้นในวงการนั้น ๆ   แต่เราเองก็มีเวลาและพลังงานที่จำกัดครับ   ไม่สามารถที่จะไปทำความรู้จักกับพ่อค่าแม่ค้าทั้งตลาดนัดได้หมดหรอกครับ   จากที่ผมได้ประสบพบเจอมาด้วยตัวเองนั้น    ในทุกวงการจะมีบุคคลที่รู้ลึกรู้จริง   รู้ไปเสียทุกอย่าง   หากท่านเป็นคนหนึ่งที่เริ่มต้นขายของในตลาดนัดแล้วต้องการข้อมูลเชิงลึกอย่างที่ต้องการละก็   อยากจะแนะนำให้ท่านตามหาบุคคลดังกล่าวให้เร็วที่สุดครับ    ผมขอใช้นามสมมุติละกันน่ะครับ เรียกคนประเภทนี้ว่า  "คุณสา(รานุกรม)"


           "คุณสา"  นั้นสำหรับผม  ไม่จำกัดว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายหรือว่ากระเทย แต่ด้วยความที่เค้าเป็นผู้ที่คลุกคลีอยู่กับวงการในพื้นที่นี้มาช้านาน   ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ   รู้จักพ่อค้าแม่ขายทุกคน    รู้ไปกระทั่งว่าลูกสาวครอบครัวนี้ไปได้กับครอบครัวนั้น     ผัวคนนั้นไปเที่ยวมีชู้กับนักร้องแถวนี้   เปรียบได้กับแหล่งข้อมูลดิบที่ยังไม่ได้ผ่านการปรุงแต่ง   จัดว่าเป็น   กูเกิลแห่งตลาดนัดก็ไม่ปาน


          เราได้รู้จักกันโดยบังเอิญครับ   ช่วงที่ผมเริ่มไปขายของตามตลาดนัดช่วงแรก ๆ  ผมก็เหมือนนักมวยสมัครเล่นที่พึ่งจะขึ้นชกมวยอาชีพโดยที่ไม่มีประสบการณ์   ทำอะไรไม่ถูกครับ   แน่นอนว่าหากเรากำลังหลงทางเราต้องมีพี่เลี้ยงไว้คอยชี้แนะแนวทาง  

           วันนั้น"คุณสา"ได้เดินเข้ามาทักทายผมด้วยความบังเอิญ   ตอนนั้นผมนั่งตบยุงพลางมองลูกค้าเดินผ่านล๊อคของผมไปด้วยความเบื่อหน่าย  
 

"เอ้า   ไอ้น้อง   พึ่งเริ่มมาขายของตลาดนัดหรือป่าว   พี่ไม่เคยเห็นหน้าเราเลยน่ะ" คุณสา  เปิดประเด็นในการเริ่มสนทนา

"ขราบบบบบ   ผมเพิ่งเริ่มเริ่มมาขายครับพี่  ยังไม่ถึงห้าวันเลย"   ผมตอบ

"พี่จะบอกอะไรให้น่ะน้อง   ที่ตรงนี้ของน้องอะ   เขาไม่นิยมมาตั้งกัน ทำเลมันไม่ค่อยดี  แล้วน้องรู้ไหมว่า  @#$@%256 ..........................................................''



       เยอะแยะไปหมด   สรุปว่าวันนั้นวันเดียวที่ผมได้มาเจอกับคุณสา  ผมได้รับความรู้มากกว่าช่วงเวลาสองสามวันที่มาขายของตลาดนัดโดยลำพังคนเดียวทั้งหมดซะอีก    ทั้งเรื่องทำเลที่ตั้งของแผง  การดึงดูดความสนใจของลูกค้า   วิธีการที่จะทำให้ได้ล๊อคทำเลดี ๆ รวมไปถึงทุกเรื่องที่จำเป็น  

คุณต้องหาคุณสาให้เจอ   แล้วคุณจะพบกับมิติใหม่ในตลาดนัด 

............................................................................................................






Friday, May 18, 2012

เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน (-5-) ช่วงเปลี่ยนผ่านจากพ่อค้า สู่ วงการอสังหาริมทรัพย์


มาถึงฤดูกาลมรสุมปลายเดือนเมษายนจนถึงต้นเดือนพฤษภาคมครับ   ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีแทบทุกวันจะมีเมฆครึ้มและฝนฟ้าคะนองในช่วงเวลาตั้งแต่   17.00   น.   เป็นต้นไปครับ ฝนตกตอนไหนไม่ตกดันมาตกเอาในช่วงที่ผมกำลังเตรียมตัวไปขายของทุกที   และเมื่อฟ้าฝนไม่เป็นใจอย่างนี้ติดต่อกันหลาย ๆ วันเข้า   ผมก็เลยต้องร้องเพลงรอ  นอนเกาพุงอยู่ที่บ้านอย่างเบื่อหน่าย   รายได้ก็หายไป   รายจ่ายก็เพิ่มขึ้นทุกวัน



    ผมจึงคิดว่าหากฟ้าฝนเป็นแบบนี้ติดต่อกันไปทุก ๆ วัน ไม่ดีแน่      เราต้องหารายได้จากการที่ต้องทำงานอะไรเพิ่มอีกสักอย่างหนึ่งที่สามารถตอบโจทย์การหารายได้ของผมตอนนี้   ถ้าคิดว่ารอให้มรสุมมันพ้นผ่านไปแล้วกลับมาขายของตลาดนัด   ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะพ้นผ่านไปหรือต้องรอไปถึงเมื่อไหร่และเมื่อถึงเวลานั้นเป็นช่วงเดือนมิถุนายน  ก็เปลี่ยนผ่านมาเป็นช่วงหน้าฝนอีก    อุปสรรคเรื่องฟ้าฝนก็ไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อไตร่ตรองดูแล้วจึงคิดว่าเราต้องอย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดหรืองานใดให้มาก   ไม่งั้นเราก็จะเกิดทุกข์เสียเอง             แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดี





จนกระทั่งเย็นวันหนึ่งผมก็ไปขายของตลาดนัดเพราะท้องฟ้าเปิดในยามเย็น  จำได้ว่าก่อนหน้านี้ทั้งสัปดาห์ฝนตกทุกวันแต่วันนี้ท้องฟ้าเปิด   แสงแดดยามเย็นทอผ่านช่องตรงกลางของก้อนเมฆที่รวมตัวกันคล้าย ๆ  รูปโดนัทจนเห็นแสงสีทองผ่านมาเป็นเส้นทอดลงมา   ผมมองสภาพอากาศแล้วคิดว่าเป็นวันที่ดีจึงเตรียมตัวและเดินทางไปตลาดนัด   เมื่อตั้งแผงเสร็จ    ก็นั่งขายตามปกติเหมือนเช่นที่เคยทำ   นั่งคุยกับพ่อค้าล๊อคติดกันอยู่เพลิน ๆ ลูกค้าผู้ชายคนหนึ่งก็เดินมาหยุดอยู่ตรงล๊อคที่ผมขายของแล้วเรียกชื่อผม





“อ้าวววว    ! วิช   มาขายของตลาดนัดตั้งแต่เมื่อไหร่” 



ผมหันไปดูจึงได้รู้ว่าเจ้าของเสียงที่เรียกนั้นคือ  คุณไก่   เพื่อนเก่าสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยนั่นเอง  คุยกันไปคุยกันมาจึงได้รู้ว่าคุณไก่นั้นทำงานอยู่ในบริษัทประเมินทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์และกำลังจะลาออกในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมพอดี  เหมาะเจาะกับตัวผมที่ต้องการงานประเภทบ้านและที่ดินอยู่พอดี  จึงจัดการแลกเบอร์โทรศัพท์   หลังจากวันนั้นผมก็คุยกับคุณไก่เรื่องที่ว่าต้องเตรียมตัวหาข้อมูลและหลักฐานต่าง ๆ ว่าต้องใช้อะไรบ้าง เพื่อไปสมัครงานในบริษัทดังกล่าวให้ได้   และตัดสินใจว่าอาจจะหยุดบทบาทการเป็นพ่อค้าอูคูเลเล่   เพื่อที่จะได้เอาเวลาไปทุ่มและเรียนรู้งานใหม่ให้คล่องเสียก่อน



          พอมานั่งทบทวนและคิดดูว่าหลังจากที่ผมได้ขายของตลาดนัดอยู่พักใหญ่ ๆ ก็ได้รู้และเข้าใจอะไรต่าง ๆ  มากยิ่งขึ้นและเป็นประสบการณ์ในชีวิตที่ไม่สามารถประเมินค่าได้มากมาย    ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เรียนรู้ตลาดนัดเปรียบได้กับห้องเรียนขนาดใหญ่   มีเพื่อนร่วมชั้นเป็นพ่อค้าแม่ขายร่วมตลาดนัดที่คอยให้คำปรึกษาและข้อมูลต่าง ๆ  ทั้งกลยุทธ์  วิธีการขาย   การตั้งแผง  ส่วนลูกค้าเปรียบได้กับคุณครู   คอยให้บทเรียนจากความเป็นจริง   ผมเชื่อว่าสิ่งที่เจอมาทั้งหมดย่อมเป็นประโยชน์ต่อการคิดและตัดสินใจของผมเองในการทำงานต่าง ๆ ในอนาคตอย่างแน่นอน

สำหรับคนที่ต้องการจะหารายได้จากการขายตลาดนัด  เป็นการขายที่สร้างรายได้ได้เป็นอย่างดีและผมสนับสนุนเต็มที่ที่จะให้ทุกคนได้มีประสบการณ์ทางด้านนี้   การเริ่มต้นอย่างแรกเลยที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นรูปธรรมคือ   ต้องลงมือทำให้มันเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดโดยไม่ต้องคำนึงว่ามันจะต้องสมบูรณ์แบบครับ   นี่คือวิถีของผมที่ผมอยากจะแนะนำไว้เป็นบันไดขั้นแรก   ส่วนขั้นต่อ ๆ ไปนั้นจะง่ายขึ้นเรื่อย ๆ ครับ

จำไว้ว่า  ยากที่สุดคือการเริ่มต้นเดินก้าวแรกครับ    ส่วนก้าวต่อไปจะง่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ









และอีกไม่นานผมต้องเข้าสู่วงการอาชีพที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของคนทั้งโลก  นั่นคืออสังหาริมทรัพย์   โอ้   เกิดมาไม่เคยคาดฝันมาก่อนเลยจอร์จ  

...................................................................................


แนะนำหนังสือเคยอ่าน





ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบมืออาชีพ
หนังสือเล่มนี้เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์กว่า   20   ปี  ของอาจารย์ อนุชา   กุลวิสุทธิ์ครับ    ที่ผมต้องเรียกว่าอาจารย์เพราะว่าผมเคยได้เข้ารับการสัมมนาโดยมีอาจารย์อนุชา   กุลวิสุทธิ์เป็นวิทยากร      มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์   และหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อาจารย์อนุชาได้มอบไว้ให้ผู้สัมมนาทุกคน   จัดได้ว่าเป็นหนังสืออีกเล่นหนึ่งที่อ่านแล้วสามารถที่จะนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง ๆ ครับ   เนื้อหารอบด้านและครอบคลุม   ผู้ที่รักการลงทุนในบ้านและที่ดินแต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรกับเส้นทางสายนี้       ผมขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ให้ท่านไปลองศึกษาดู   รับรองว่าไม่ผิดหวังครับ
..........................................................................................................

Friday, May 11, 2012

เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน (-4-) ประสบการณ์ขายของในตลาดวันแรก

" ดูก่อนได้นะครับ  "


"................."


"สอบถามได้น่ะครับ   ราคาคุยกันได้   ไม่แพงอย่างที่คิดครับ    ลองดูลายนี้ไหมครับ   ตัวนี้จะเป็นลายไม้ยิ้มน่ารักน่าชัง    ลองดีดลองเล่นได้เต็มที่เลยน่ะน้อง เสียงดีไม่แพ้ชาติใดในโลก"   พลางผมก็ยื่นมือหยิบอูคูเลเล่ตัวดังกล่าวขึ้นมาจากแผงก่อนที่จะส่งไปที่มือของลูกค้าอย่างรวดเร็ว

"แล้วตัวนี้ ชื่อของมันเรียกว่า size อะไรหรอครับเนี่ย" ลูกค้าถามผมกลับมา    มือก็ดีดอูคูเลเล่ลายไม้ยิ้มที่ผมส่งให้ไปพลาง พร้อมทั้งยืนมองหน้าผมเพื่อรอคำตอบดังกล่าว

"น้องครับเดี๋ยวพี่ตั้งสายอูคูเลเล่ให้ใหม่น่ะ สายที่หนึ่งมันเพี้ยนอยู่นิดนึง" ผมรีบเบี่ยงเบนประเด็นด้วยคำถามพร้อมทั้งยื่นมือขออูคูเลเล่จากลูกค้า

"เขาเรียกว่าไซส์อะไรพี่" ลูกค้าย้ำถึงคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างจริงจัง

"อืม..... อ่อม .... มันเป็น size ที่เล็กที่สุดอะครับ คือมันชื่อว่า ....." ผมหยุดชะงักเพราะจำชื่อเรียกไม่ได้



.
.
.
.



นี่คือบทสนทนาของการขายอูคูเลเล่วันแรกครับ      มันคือวันแรกในชีวิตที่ผมได้มาตั้งแผงขาย   เป็นวันแรกของการขายของในตลาดนัดที่วุ่นวายมากที่สุดวันหนึ่งเลยก็ว่าได้เพราะผมไม่มีทั้งประสบการณ์   ความรู้และความคุ้นเคย   



วันแรกนี้จำได้เลยว่าขับรถมอเตอร์ไซค์ที่บรรทุกอูคูเลเล่เต็มหลังรถมาถึงตลาดนัดตั้งแต่เวลายังไม่สี่โมงเย็นครับ ท่ามกลางบรรยากาศตลาดนัดที่พ่อค้าแม่ค้าจ้าวอื่น ๆต่างวุ่นวายในการตั้งแผงขายของของตัวเองยามบ่ายแก่ ๆ   อากาศค่อนข้างร้อนและมีบรรดาผู้คนเริ่มที่จะเข้ามาเดินจับจ่ายใช้สอยกันบ้างแล้ว ทำให้มีเสียงลูกค้า   ผู้คน  และพ่อค้าแม่ขายคุยต่อรองราคากันจ้าละหวั่น จึงวุ่นวายมาก ๆ     แต่กว่าที่ผมสามารถที่จะเริ่มตั้งแผงเสร็จพร้อมที่จะขายของตอนนั้นก็ปาเข้าไปเกือบหกโมงเย็นแล้ว   เพราะผมไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ว่าหากต้องการที่จะลงขายของล๊อคตรงนี้ต้องไปติดต่อใคร   ด้วยความที่มั่วซั่วตามภาษาพ่อค้าหน้าใหม่ก็เลยดันไปตั้งแผงที่มีเจ้าของอยู่แล้ว   เมื่อเจ้าของที่เขามาก็เลยถูกไล่ให้ไปล๊อคอื่น    พอไปล๊อคอื่นที่คิดว่าว่าง  ก็ดันมีเจ้าของซะอีกก็เลยถูกเนรเทศซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง





ทีนี้ผมก็เลยไปถาม   เจ้าหน้าที่จัดล๊อคประจำตลาดนัด   ซะเลยว่าตรงไหนที่ยังเป็นล๊อคว่าง ๆ  อยู่  ผมยังจำคำพูดที่ว่า


"น้องเอ้ยยยย    ล๊อคไหนว่างน้องก็ลงของแล้วก็ขายไปได้เลย"   นี่คือคำพูดของเจ้าหน้าที่จัดล๊อคประจำตลาดนัดครับที่พูดจาเสียงค่อนข้างฉะฉานมาที่ผม



"แล้วล๊อคตรงนี้ว่างอยู่    งั้นผมเอาของมาขายตรงนี้เลยละกันน่ะ"   เป็นคำพูดยืนยันของผมท่ามกลางบรรยากาศที่แสนวุ่นวายกลางตลาดนัด  พร้อมทั้งผมก็ชี้นิ้วไปยังล๊อคว่างดังกล่าว    พี่เจ้าหน้าที่จัดล๊อคก็พยักหน้าเป็นการรับทราบเรียบร้อย       เพื่อไม่ให้เสียเวลาผมจึงรีบยกอูคูเลเล่ไปที่ล๊อคด้วยความรวดเร็วและรีบจัดของทันที


จัดของไม่ทันเสร็จครับ  ผมก็สังเกตเห็นผู้หญิงสองคนยืนจังก้าอยุ่ตรงหน้าผม   พร้อมทั้งวางลังผ้าและราวผ้า   และคำถามที่ว่า

"น้องค่ะ  ล๊อคนี้น้องจ่ายเงินค่าล๊อคหรือยังค่ะ "   สิ้นคำถามดังกล่าวผมรู้ได้ทันทีว่า   ล๊อคที่ผมกำลังนั่งจัดของอยู่ตอนนี้คงมีเจ้าของอยู่ตามเคย   และเจ้าของล๊อคนี้เธอก็ยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้วด้วย  

"ยังไม่จ่ายเลยครับ   "  

"ล๊อคโซนฝั่งซ้ายที่น้องนั่งอยู่เนี่ยจริง ๆ  แล้วจะเป็นล๊อคที่เขาต้องจ่ายค่าเช่าเป็นรายเดือนกัน    ถ้าน้องพึ่งมาขายแล้วยังไม่มีล๊อครายเดือนประจำ  น้องต้องไปขายโซนฝั่งขวาน่ะ   เพราะโซนนั้นเป็นโซนรายวันค่ะ  "   ประโยคของแม่ค้าขายผ้าที่เป็นเจ้าของล๊อคทำเอาผมตาสว่างเลยครับ   คิดในใจว่า   ถ้ามีคนมาบอกกับผมแบบนี้แต่แรกผมจะได้รู้ว่าควรจะทำยังไง  ตั้งแผงตรงไหนซะตั้งนานแล้ว

นึกไปนึกมาก็ดันเจ็บใจเจ้าหน้าที่จัดล๊อคประจำตลาดนัดอยู่นิดนึง   มันจัดล๊อคให้ผมภาษาอะไรของมันว่ะเนี่ย ที่ตรงไหนที่มีเจ้าของไม่ยอมบอก   แต่ดันพูดประมาณว่า   'ตรงไหนว่าง  ลงได้เลยไอน้อง'    แม่ง    แล้วเขาจะจ้างมันมาจัดระเบียบทำ  บักกร๊วก   อะไรว่ะเนี่ย   งง   



สุดท้ายก็ได้ล๊อคขายของครับ เป็นล๊อคเยื้อง ๆ  กับล๊อคของสองแม่ค้าขายผ้านี่เอง   พอแดดร่มลมตก  ตะวันเริ่มโพล้เพล้   ทีนี้เกิดปัญหาแล้วครับเมื่อเริ่มมืดก็ต้องใช้แสงสว่างจากหลอดไฟ    บรรดาพ่อค้าแม่ค้ามืออาชีพจ้าวอื่น ๆ  เขามีหลอดไฟกันหมด    ส่วนมือสมัครเล่นอย่างผมนั่นหรือเตรียมมาแน่นอนครับเป็นหลอดประหยัดไฟเบอร์ห้าด้วย   แต่สายไฟมันสั้นนิดเดียว   ไม่สามารถที่จะไปเสียบกับเต้ารับที่ใกล้ที่สุดได้ครับ    สุดท้ายก็ต้องนั่งขายมืด ๆ กันไป   เป็นความสับเพร่าและพลาดในหลาย ๆ เรื่อง   ซึ่งผมคิดว่าความผิดพลาดในวันนี้ทั้งหมดพรุ่งนี้มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นซ้ำสองแน่นอน   ยังไงซะวันนี้แม้ว่าจะขายอะไรไม่ได้แต่ได้ประสบการณ์มาแล้วครับ   ผมก็นั่งเขียนรายการสิ่งที่ต้องแก้ไขในวันพรุ่งนี้ลงในสมุดประจำตัว   นั่งเขียนไม่ทันเสร็จ   ลูกค้ารายแรกในชีวิตของผมก็เดินตรงเข้ามายืนด้อม ๆ  มอง ๆ อูคูเลเล่อย่างเงียบ ๆ



"........................................."   ลูกค้ายืนมองสินค้าอย่างเงียบๆ




" ดูก่อนได้นะครับ "   ผมพูดเชิญชวน





"................."    ก็ยังยืนมองสินค้าอย่างเงียบ ๆ ผมคิดในใจว่าทำไงดีว่ะเนี่ย   นึกขึ้นมาได้ว่าการขายของต้องมีการโปรโมทให้สินค้านั้นเป็นที่น่าสนใจเสียก่อนเป็นขั้นตอนแรก   จึงไม่รอช้าครับ


"สอบถามได้น่ะครับ ราคาคุยกันได้ ไม่แพงอย่างที่คิดครับ ลองดูลายนี้ไหมครับ ตัวนี้จะเป็นลายไม้ยิ้มน่ารักน่าชัง สามารถที่จะลองดีด  ลองเล่นได้เต็มที่เลยนะครับ เสียงดีไม่แพ้ชาติใดในโลก"


พลางผมก็ยื่นมือหยิบอูคูเลเล่ตัวดังกล่าวขึ้นมาจากแผงก่อนที่จะส่งไปที่มือของลูกค้าอย่างรวดเร็ว



"แล้วอูคูเลเล่ size    เล็กสุดนี้ ชื่อของมันเรียกว่า   size   อะไรหรอครับเนี่ย" ถามเสร็จมือก็ดีดอูคูเลเล่ลายไม้ยิ้ม   ไปพลาง พร้อมทั้งยืนมองหน้าผมเพื่อรอคำตอบดังกล่าว  ผมสะดุ้งเฮือกกับคำถาม .....

"น้องครับเดี๋ยวพี่ตั้งสายอูคูเลเล่ให้ใหม่น่ะ สายที่หนึ่งมันเพี้ยนอยู่นิดนึง" ผมรีบเบี่ยงเบนประเด็นด้วยคำถามพร้อมทั้งยื่นมือขออูคูเลเล่จากลูกค้า

"เขาเรียกว่า    size  อะไรพี่" ลูกค้าย้ำถึงคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างจริงจัง

"อืม..... อ่อม .... มันเป็น sizeที่เล็กที่สุดอะครับ คือมันชื่อว่า ....." ผมหยุดชะงักเพราะจำชื่อเรียกไม่ได้จริง ๆ        ชื่อของมันนั้นเป็นศัพท์เฉพาะทางดนตรีเลยครับ    ผมรู้แค่ว่าอูคูเลเล่มีทั้งหมดสามขนาด  คือเล็ก   กลาง  และก็ใหญ่ครับ    

ขนาดใหญ่มีชื่อเรียกว่า  "เทรนเนอร์" 

ส่วนขนาดกลางเรียกว่า"คอนเสิร์ต"

แต่ไม่รู้ว่าขนาดเล็กสุดของอูคูเลเล่นั้นมันชื่ออะไร   ซึ่งมันน่าเจ็บใจตรงที่มันเป็นขนาดที่ผมขายอยู่แต่ดันไม่รู้ชื่อนี่แหละครับ    บักกร๊วก   จริงๆ

   แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าถ้าเราไม่สามารถที่จะตอบคำถามลูกค้าได้เราก็จะขาดความน่าเชื่อถือในการขายครับ   คิดว่าถ้าโทรถามบรรดาพี่ ๆ นักดนตรีรุ่นพี่ก็คงจะไม่ทันการแล้ว   ด้วยความที่กลัวเสียฟอร์มนักดนตรีเก่าครับ   ก็เลยย้อนถามกลับไปเพื่อลองเชิงลูกค้าดู

"อูคูเลเล่จะมีด้วยกันสามขนาดครับ   แตกต่างจากกีตาร์นะครับ"   ผมเฉไฉไปเรื่องกีตาร์ทันที        "ปกติเนี่ย   น้องเล่นกีตาร์เป็นหรือป่าวครับ"    เป็นการถามเพื่อลองเชิงและวัดภูมิความรู้เรื่องดนตรี

"กีตาร์เล่นไม่เป็นครับ   เล่นเป็นแต่อูคูเลเล่ "   อ้าวละมึง    ผมรู้สึกตัวลีบเล็กไปในทันที       ดันมาเจอคนที่มีความรู้เรื่องอูคูเลเล่มากกว่าซะงั้น เกิดผมให้ขอ้มูลเกี่ยวกับอูคูเลเล่มั่วซั่วไปละก็หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลยน่ะเนี่ย  

"ลงเรียนกี่คอร์ดกี่ชั่วโมงแล้วหรอครับ   คุณน้อง"   ผมถาม

"ไปเรียนได้ชั่วโมงเดียวแล้วก็ไม่ไปอีกเลยอ่ะ   เพราะว่าขี้เกียจอะพี่"   คำตอบของน้องเขาทำให้ผมรู้สึกว่า     ตัวผมเองคือผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่ออูคูเลเล่ที่สุดในตลาดนัดแห่งนี้อีกครั้ง   "ตกลงมันชื่อว่าอะไรหรอครับ   ไอเจ้าอูคูเลเล่  size  เล็กสุดเนี่ย"   น้องลูกค้าสุดหล่อกลับมาสู่คำถามมรณะอีกครั้ง

ผมนิ่งไปประมาณสามวินาที   ประมวณผลในสมองแล้วว่า   นี่คือคำตอบที่ผมคิดว่ามันใช่ที่สุดแล้วที่ผมพอจะนึกขึ้นมาได้  และน้องลุกค้าคนนี้คงจะไม่รู้ชื่อจริง ๆ  จึงบอกน้องเขาไปแบบเต็มเสียง  ชัดถ้อย  ชัดคำว่า

"ฟีฟาราโน่  !"

"หา  !  อะไรน่ะพี่  ???"

คิดในใจ     ชิปหายแล้วกูพูดชื่อผิดแน่เลย   สาดเอ้ยยยยย  

"อีกทีได้ไหมพี่   พี่พูดอะไรผมฟังไม่รู้เรื่อง"   ลูกค้าแสดงเจตจำนงค์ว่า   Again   Please .   ตอนนั้นรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงครับ  

"ซูซีราโน่ ! "           - - "

"หา !  อีกทีพี่"

เอาละเว้ยบอกไปสองชื่อ   แม่งไม่ซ้ำกันซักชื่อ   อย่าว่าแต่คนฟังเลยครับที่มึน    คนพูดมึนกว่าอีกครับ

ทันใดนั้นมีเสียงสวรรค์ดังขึ้นมาจาก   Nokia  คู่ใจ    ดูรายชื่อบุคคลที่โทรเข้ามาแล้วเป็นบุคคลที่สวรรค์ส่งมาเพื่อผมครับ    เขาคนนั้นคือ   อาจารย์แซมครับ   เป็นหุ้นส่วนและเป็นมือกีตาร์วงเดียวกับผมรวมทั้งเป็นอาจารย์สอนดนตรีด้วยครับ   โทรมาได้จังหวะมาก ๆ  ผมไม่รอช้าครับ   รีบบอกลูกค้าว่า   ขอสองนาที เดี๋ยวผมขอตัวรับโทรศัพท์ด่วนก่อน       พลางเดินออกมาจากล๊อคที่ขายของให้ไกลพอที่จะให้ลูกค้าไม่ได้ยินเสียงการคุยโทรศัพท์ของผม


"โหลขราบ    พี่แซม"

"อ้าววิช   เป็นไงบ้างขายของที่ตลาดนัดวันแรก   ขายดีป่ะ  "  พี่แซมถาม

"มั่วซั่วดีพี่   แล้วตอนนี้ก็กำลังมั่วได้จังหวะพอดีเลยพี่    พี่ช่วยผมหน่อยดิ  "

"มีไรก็รีบว่ามา"  

"อูคูเลเล่   ขนาดเล็กสุดมันชื่อว่าอะไรแล้วน่ะ"   ผมถาม

" โซปราโน่     ไงไอวิชพี่เคยบอกไปจำไม่ได้หรือไงว่ะ"   พี่แซม  จวก   ผมไปหนึ่งดอก

"โอเคพี่   ขอบใจมากครับ   เดี๋ยวอีกสองนาทีผมโทรกลับน่ะ  ติดลูกค้าอยู่   แค่นี้นะขราบบบ แคร๊ก ตู้ด ๆ ๆ ๆ ๆ "  เสร็จจากการคุยโทรศัพท์ก็รีบเดินไปที่แผงอีกครั้ง

และครั้งที่สามผมก็สามารถบอกชื่อได้ถูกต้องสักที   ซึ่งแม้ว่าลูกค้าจะไม่ได้ซื้ออูคูเลเล่จากผมไป   แต่ผมก็ได้บทเรียนครับ    ว่าเราต้องรู้ในสิ่งที่เราขายให้มากที่สุด    จำได้ควรจะจำให้หมด  แต่ถ้าจำไม่หมด จดดีกว่าจำครับ  



แค่หวนรำลึกวันแรกของการขายเท่านั้นและก็อยากรู้ว่าหลาย ๆ  คนนั้นเคยเป็นเหมือนที่ผมเป็นด้วยหรือป่าว


อย่างน้อยสำหรับวันแรกแม้จะผิดพลาดอะไรไปบ้างก็ถือซะว่า แม้เราจะเดินก้าวล้มไปข้างหน้า ก็ยังดีกว่ายืนตั้งท่าสวยอยู่กับที่ จริงไหมครับ

..........................................................

แนะนำหนังสือเคยอ่าน







ตำราพิชัยสงครามซุนหวู่กับ   36   กลยุทธ์จีนโบราณ

เคยประหลาดใจไหมครับว่าทำอย่างไรให้คนนับแสนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเราสามารถที่จะเดินทางตบเท้ากันอย่างพร้อมเพรียงพร้อมใจกันหมด      หรือว่าทำไมกองทัพที่มีขนาดใหญ่กว่ากลับต้องพ่ายแพ้แก่ปัญญาชนเพียงหยิบมือเดียว   ความลับทั้งหมดอยู่ในหนังสือเล่มนี้แทบทั้งสิ้น    พิชัยสงครามซุนหวู่จัดได้ว่าเป็นต้นตำหรับการสงครามโดยแท้  ที่หน่วยงานแทบจะทั่วทั้งโลกยังต้องบรรจุไว้ในแผนการศึกษาของโรงเรียนสอนทหาร  
          แม้ว่าจะเป็นตำราที่ใช้ในการสงคราม   แต่ด้วยแก่นของเนื้อหานั้นสามารถที่จะเอามาใช้ในการดำเนินธุรกิจได้ลงตัวอย่างน่าประหลาด    ผมอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วรู้สึกทึ่งในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษจีนเป็นอย่างมาก       ขอขอบคุณคุณดาณุภา    ไชยพรธรรมที่เรียบเรียงเนื้อหามาให้พวกเราได้อ่านกันครับ

....................................................................

Saturday, May 5, 2012

เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน (-3-) สถานที่ขายในจังหวัดสุราษฎร์ธานี







นี่คือตำแหน่งแผนที่ของตลาดนัดในจังหวัดสุราษฎร์ธานี   ซึ่งผมจะขายอยู่ตามตลาดนัดในตำแหน่งบนแผนที่แทบทั้งสิ้นเวียนกันไปทุกวันทั้งอาทิตย์โดยรายละเอียดแต่ละแห่งจะมีข้อมูลเกี่ยวกับราคาค่าเช่าแผงดังนี้

.......................................................................................................................................................
ตลาดนัดจะอยู่เยื้องตรงกันข้ามกับโรงแรมไดมอนด์สุราษฎร์ธานี

     1.   ตลาดนัดหน้าโรงแรมไดมอนด์

สำหรับตลาดแห่งจัดได้ว่าเป็นตลาดที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าค่อนข้างสูงเช่นกันด้วยความที่มีล๊อคให้เลือกค่อนข้างเยอะ   ประกอบกับว่าตลาดนัดแห่งนี้อยู่ติดกับถนนศรีวิชัยซึ่งเป็นถนนสายหลัก   ลูกค้าจึงคับคั่งอยู่เสมอ

ราคาค่าเช่าล๊อค        :   60.- ต่อวัน (รวมค่าไฟ)
วันที่ขาย              :   ทุก ๆ วันจันทร์และวันศุกร์
ที่จอดรถ              :   ค่อนข้างสะดวกสบายมาก
แสงสว่างในตลาดนัด   :  ค่อนข้างสว่างเพียงพอ



ตลาดนัดสำเภาทอง
     2.   ตลาดสดสำเภาทอง

ทำเลของตลาดแห่งนี้อยู่ในตัวเมืองสุราษฎร์ธานี
อยู่ใกล้กับสี่แยกอนามัย  ตลาดแห่งนี้ก็เหมือนกับตลาดนัดที่อื่นๆ  ที่แบ่งเอาพื้นที่หนึ่งในสามของลานจอดรถยนต์ตลาดสดสำเภาทองมาทำเป็นล๊อค   จัดได้ว่าเป็นตลาดที่สะอาดที่หนึ่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานีเลยครับ

ราคาค่าเช่าล๊อค :   30.- ต่อวัน
ราคาค่าไฟฟ้า     :    หลอดไฟดวงละ 5.-
วันที่ขาย : ทุก ๆ วันอังคารและวันพฤหัสบดี
ที่จอดรถ : ค่อนข้างสะดวกสบายมาก
แสงสว่างในตลาดนัด :  สว่างพอสมควร



      3.   ตลาดดอนนก

จัดได้ว่าเป็นตลาดที่มีคนมาเดินจับจ่ายใช้สอยกันมากพอสมควร    การจราจรในช่วงเย็น ๆอาจจะมีติดขัดบ้างในถนนเส้นดอนนก         จะคับคั่งมาก  ๆ  ก็ช่วงที่โรงเรียนเปิดเทอมครับ

ราคาค่าล๊อค      :   30.- ต่อวัน
ราคาค่าไฟฟ้า   :   หลอดไฟดวงละ   3.-
วันที่ขาย           : ทุก ๆ วันอาทิตย์และวันจันทร์
ที่จอดรถ           :   สะดวกสบายพอสมควร
แสงสว่างในตลาดนัด :  ควรเตรียมหลอดไฟไปเอง






     4.   ตลาดนัด ถนนคนเดิน

   อยู่ตรงแยกนริศครับ เป็นตลาดนัดที่อยู่ในความดูแลของเทศบาลเมืองสุราษฎร์ธานี  ถ้านึกไม่ออกว่าอยู่ตรงไหนก็ให้นึกถึงท่าเรือนอนไปเกาะสมุยเกาะพะงันอ่ะครับ   แล้วจะมีทางแยกตรงห้องสมุดเฉลิมพระเกียรติอยู่   ตลาดแห่งนี้นับได้ว่าเป็นตลาดที่ได้รับความนิยมแห่งหนึ่งทีเดียว   เพราะจะมีสินค้า   OTOP   ท้องถิ่นมาวางขายกันด้วยครับ

ราคาค่าล๊อค :   ไม่มีครับ    แต่จะเก็บเป็นค่ารักษาความสะอาดแค่ 20.-ต่อวัน แทน
ราคาค่าไฟฟ้า : หลอดไฟดวงละ 3.-
วันที่ขาย : ทุกวันเสาร์
ที่จอดรถ :   ค่อนข้างจะหาที่จอดรถยาก
แสงสว่างในตลาดนัด :  สว่างพอควร


ข้อมูลราคาค่าล๊อคนั้นสามารถที่จะมีการเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อครับ   แต่ข้อมูลที่ลงไว้ให้ผมถือเอาราคาที่ผมเคยจ่ายเป็นหลักครับ   อาจจะถูกหรือแพงกว่านี้   แล้วแต่โอกาสครับ



หวังว่าข้อมูลทั้งหมดที่ได้อ่านมาจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เริ่มต้นจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าตลาดนัดน่ะครับ   ส่วนตัวผมแม้จะไม่ได้เป็นพ่อค้ามืออาชีพเหมือนที่หลาย ๆ คนเป็น   แต่การที่ได้มาเริ่มต้นขายของตามตลาดนัดรวมแล้วแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ นั้น   สำหรับผมนับได้ว่าตลาดนัดแต่ละแห่งได้มอบบทเรียนและประสบการณ์ที่ไม่สามารถจะประเมินค่าได้ครับ    ข้อมูลทั้งหมดยังมีอีกเยอะครับที่ผมไม่สามารถจะโพสต์ให้อ่านได้หมด   ไม่ว่าจะเป็น   การทำตัวให้รอดพ้นจากเจ้าหน้าที่ลิขสิทธิ์  (หากเรามีสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์มาขาย   ทางที่ดีอุดหนุนสินค้าลิขสิทธิ์ดีกว่าครับ)   การต้องต่อสู้ฟาดฟันในการที่จะได้ล๊อคขายของในแต่ละวัน    การต่อรองลูกค้า    ลูกล่อลูกชนในการต่อรอง    พฤติกรรมเลียนแบบที่เหมือน ๆ  กันของลูกค้า      คำถามยอดฮิต      คำแสลงสุดฮอต   ไว้ว่าง ๆ  ค่อยเอามาลงไว้เพิ่มละกันน่ะครับ  











Tuesday, April 24, 2012

เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน(-2-)



        ตามตลาดนัดในสุราษฎร์ธานีส่วนใหญ่จะขายเสื้อผ้าประมาณ    85%    เลยทีเดียว   ส่วนที่เหลือก็จะเป็นกิ๊ฟช๊อป    เบ็ดเตล็ด    ราคาที่ตั้งขายตามตลาดนัดโดยส่วนใหญ่จะตั้งไว้ที่ประมาณ   20   ,  99   ,   199   , 299อะไรประมาณนั้น   เป็นราคาที่ทำให้ลูกค้าควักเพื่อจ่ายเงินซื้อง่ายๆ อะไรแบบนั้น






 
ช่วงแรก ๆ มีแม่ค้าพ่อค้าหลายรายมาถามผมว่า   ราคาหลักพันแบบนี้ลูกค้าจะมีเงินซื้อหรือป่าว   เพราะส่วนใหญ่ตามตลาดนัดนั้นราคาสินค้าจะไม่สูงขนาดนี้    ผมก็นั่งเงียบๆ   พร้อมกับคิดในใจว่า   จะซื้อหรือไม่ซื้อนั้น  ผมมองว่ามันเป็นการตัดสินใจของลูกค้าครับ   หากเขาพอใจเขาและเห็นว่าสินค่าผมราคาไม่แพงจริงๆ   และคุ้มค่าที่จะซื้อ   เรื่องเหล่านี้ย่อมไม่เป็นปัญหา     แต่นั่นแหละครับมันจึงเกิดเป็นอุปสรรคที่สำคัญอย่างหนึ่งของผมคือ     ราคาสินค้าที่ผมขายอยู่นั้นแม้จะถูกมากในสินค้าประเภทเดียวกันแต่เมื่อนำไปตั้งอยู่ตามตลาดนัดนั้นก็ถือว่าเป็นราคาที่จัดว่าสูงที่สุดในตลาดนัดเลยครับ   สินค้าพวกนี้จะมีกลุ่มลูกค้าเฉพาะอยู่แล้ว   เป็นสินค้าที่ต้องตั้งใจมาซื้อ   หรือหากว่าบังเอิญอยากได้ก็ต้องมีเงินในกระเป๋าอยู่พอสมควร   นี่คือสิ่งที่ผมต้องใช้ความอดทนในการขายครับ   จะมาเปรียบเทียบกับเสื้อผ้ามือหนึ่งมือสองหรือ  ต่างหูหรืออุปกรณ์เสริมโทรศัพท์ที่แต่ละอย่างราคาซื้อง่านยจ่ายคล่องนั้น ย่อมไม่ได้แน่นอน

แผงขายที่มีขนาดเล็กเท่ากับหนึ่งล๊อคให้เช่าพอดิบพอดี 

          ในช่วงสิบวันแรกที่ผมเริ่มขายนั้นผมไม่สามารถที่จะขายสินค้าได้แม้แต่สักรายการเดียวเลยครับ    แต่ต้องอดทนไปทุกวันทุกอาทิตย์   เพราะความที่เราเป็นสินค้าที่แปลกใหม่ในตลาดนัด    ผมกล้าพูดได้เลยว่า   ณ   เวลานี้ผมคือพ่อค้าขายเครื่องดนตรีเจ้าแรกและเจ้าเดียวในจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ขายสินค้าประเภทนี้ตามตลาดนัดครับ  สินค้าที่ขายจะหนักไปทางเครื่องดนตรีประเภทอูคูเลเล่ซะส่วนใหญ่   เพระว่ายังอยู่ในกระแส   ราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อยปลาย ๆ  จนถึงครึ่งหมื่นก็ขายครับ  ส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ   ที่เกี่ยวกับ  อูคูเลเล่นั้นมีตั้งแต่   ขาตั้งอูคูเลเล่   (Tripod Ukulele )    เครื่องตั้งสาย    กระเป๋าอูคูเลเล่   สายอูคูเลเล่   และแน่นอนครับ   เราก็ควรที่จะต้องมีสินค้าราคาถูกอย่างเช่น  ปิ๊คกีตาร์ไว้บ้าง   เพื่อให้มีสินค้าขายง่ายไว้ดึงเงินจากกระเป๋าลูกค้า       

และอย่างที่เห็นครับว่าแผงของผมทีใช้ในการตั้สินค้านั้นเรียบง่ายมาก ๆ   ด้วยความที่เราต้องการให้ต้นทุนต่ำที่สุดจึงมีการประยุกต์ใช้สิ่งที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุดและขนย้ายง่ายด้วยครับ ซึ่งโดยหลัก ๆ  แล้วผมจะมี

1. ลังใส่ของสีดำ  2 ลูก   เพื่อใช้เก็บอูคูเลเล่ในการขนย้ายไป - กลับระหว่างตลาดนัด กับที่บ้าน    และนอกจากนั้นยังสามารถที่จะเอาเป็นโต๊ะเล็กๆ ไว้เพื่อตั้งเป็นแผงได้อีกด้วยในเวลาที่เราขายของ

2. ตะแกรงตะข่าย

3. ป้ายราคา

4. หลอดไฟ  และปลั๊กไฟ

5. เก้าอี้ตัวเล็ก ๆ  สักตัว  เอาไว้นั่งขาย   (จะได้ไม่เมื่อย) 



เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน (-1-)

ประสบการณ์ใหม่ในชีวิตของผมหลังจากที่ผมตกงานประจำจากการเป็นนักดนตรีก็คือ การขายของตลาดนัดตามที่ต่าง ๆ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีครับ ขั้นตอนแรกเลยสำหรับทุกคนที่ก้าวเข้ามาเป็นพ่อค้าแม่ขายมือใหม่คงหนีไม่พ้นคำถามสุดฮิตครับว่า “ขายอะไรดี” ถ้าตีโจทย์ข้อแรกได้ คำตอบอื่นๆ ก็จะตามมาเอง สำหรับสิ่งที่ผมจะขายในฐานะที่เคยเป็นนักดนตรีก็คงจะหนีไม่พ้น “เครื่องดนตรี” และแน่นอนที่สุดว่าเครื่องดนตรีสุดฮิตที่ติดกระแสคงจะหนีไม่พ้น อูคูเลเล่ (Ukulele) ครับ ด้วยความที่เป็นเครื่องดนตรีขนาดเล็ก พกพาสะดวก เล่นง่าย ไม่เจ็บนิ้ว มีลายน่ารักให้เลือกซื้อ จนขนาดที่ว่าบางกระแสนั้นคนซื้อไปเพื่อเป็นเครื่องประดับอย่างเดียวก็มี
อูคูเลเล่ลายไม้ครับ
ส่วนตัวนี้จะเป็นอูคูเลเล่ไฟฟ้า




เอาละ ในเมื่อรู้แล้วว่าจะขายอะไร ขั้นตอนต่อมาก็ต้องมาเริ่มว่าจะขายที่ไหน และที่ที่นั้นต้องมีคนพลุกพล่านพอสมควร ก็คงไม่พ้นตลาดนัดครับ เป็นจุดเริ่มต้นที่มีต้นทุนต่ำมาก และมีโอกาสในการขายค่อนข้างสูงพอตัว สำหรับการเริ่มต้นเราควรจะต้องเตรียมค่าใช้จ่ายเอาไว้สองประเภท



  1. รายจ่ายวัฏจักร ได้แก่ ค่าเช่าแผง (หรือเรียกสั้นๆ ว่า “ค่าล๊อค”) ค่าไฟฟ้า ค่าทำความสะอาดแผง เป็นต้น


  2. รายจ่ายต้นทุน คือ ค่าวัสุดอุปกรณ์ในการตกแต่งหรือส่งเสริมการขายแต่ไม่ใช่ตัวสินค้า ได้แก่ กล่องใส่สินค้าหลอดไฟ เสื่อ ป้ายราคา ตะแกรงวางของ เชือกมัดของ เป็นต้น


  3. รายจ่ายหมุนเวียน คือเงินที่เอามาใช้ซื้อสินค้า เมื่อขายได้ก็จะได้ทุนกลับมาพร้อมกำไรนั่นเอง


สำหรับรายจ่ายวํฏจักรนั้นเริ่มตั้งแต่ค่าเช่าแผงที่มีราคาแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 20-60 บาทต่อหนึ่งล๊อค แล้วแต่สิ่งอำนวยความสะดวกที่เจ้าของตลาดจะอำนวยไว้ให้เราได้ สำหรับตลาดนัดที่ราคาค่าที่นั้นถูกหน่อยก็จะเป็นของเทศบาลนี่แหละครับ บรรดาพ่อค้าแม่ขายก็จะมาจับจองกันเยอะ จริงต้องมีการจับฉลากกันว่าใครจะได้ที่ตรงไหน โดยการให้บรรดาพ่อค้าแม่ขายหย่อนบัตรประชาชนลงไปในกล่องแล้วหยิบขึ้นมา วัดดวงกันไปเลยครับ เหมือนอารมณ์ตอนที่จับใบดำใบแดงตอนที่เขาคัดทหารกัน



พ่อค้าแม่ค้าหลาย ๆ คนรวมถึงตัวผมเองด้วยนั้น หากว่าเราไม่สามารถที่จะเข้าคิวรอจับฉลากแบ่งล๊อคหรือเข้าไปซื้อล๊อคได้ทันเวลา ก็ต้องมาลุ้นกันต่อว่าเราจะได้ที่ขายของเมื่อไหร่ ก็ตอนช่วงที่เขาตั้งแผงขายของกัน จะมีพ่อค้าแม่ค้าบางคนที่จับฉลากได้ล๊อคไปแล้ว แต่อาจจะมีเหตุผลที่เขาไม่มาขาย เช่น ได้ที่ที่ไม่ถูกใจก็เลยไม่มาขายซะงั้น หรือฝนฟ้าอากาศไม่เป็นใจก็ไม่มาอีกเช่นกัน เป็นต้น ทีนี้ก็จะเป็นโอกาสของผมที่จะได้เข้าไปแทรกแซงจับจองล๊อคประเภทนี้เพื่อที่จะขายแทนซะเลย เรียกว่าชุบมือเปิบ



ส่วนใหญ่นั้นที่ที่เราจะใช้ตั้งของขาย เจ้าของตลาดเขาจะแบ่งล๊อคไว้ โดยแต่ละล๊อคจะมีขนาด กว้างยาวประมาณ 1.5 X 1.5 เมตร เพียงแค่นั้นครับ หากใครขายของเยอะหรือขายหลายอย่างก็จองไว้เลยครับ สองล๊อคสามล๊อคแล้วแต่ความเหมาะสม และสำหรับตลาดนัดเอกชนนั้น ล๊อคพิเศษอย่างล๊อคที่อยู่ตรงหัวมุมนั้นจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าล๊อคที่ไม่ได้อยู่หัวมุม เพราะโอกาสที่มากกว่าทำให้สามารถที่จะขายได้เยอะ โอกาสก็มากกว่านั่นเองครับ



ต่อมาก็จะเป็นระบบอำนวยความสะดวกให้กับบรรดาพ่อค้าแม่ขายนั่นก็คือ ระบบไฟฟ้า จัดว่าเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ ครับ เพราะต้องเริ่มขายของกันตั้งแต่เวลา 16.00 น. ไปจนกระทั่ง สามสี่ทุ่มโน่นแสงสว่างจึงสำคัญมาก ๆ ครับ ตามตลาดนัดที่ต่าง ๆ จึงมีหลอดไฟแสงจันทร์กำลังขับสูงที่ติดตั้งอยู่บนยอดเสาขนาดใหญ่ไว้คอยให้บริการสาดส่องอยู่แล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่พอครับ บรรดาพ่อค้าแม่ขายจึงต้องเตรียมหลอดไฟเพื่อให้แสงสว่างแก่ล๊อคของตัวเองอีกทีหนึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการขาย สำหรับล๊อคของผมนั้นด้วยความที่เป็นล๊อคเล็ก ผมจึงต้องลงทุนกับแสงสว่างให้มาก ๆ ครับ ส่งเสริมเพื่อให้ล๊อคของผมนั้นสว่างไสวและยังทำให้สินค้าของผมมีความโดดเด่นและสะดุดตาของลูกค้าให้มากที่สุด



อีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องคำนึงเสมอก็คือเรื่องของฟ้าฝน สภาพอากาศ สำหรับพ่อค้าแม่ค้าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ครับ ของบางอย่าง เช่น เครื่องดนตรีทั้งหลายของผมเองนั้น ต้องหลีกหนีให้ไกลจากความชื้นและน้ำให้มากที่สุดครับ มันหมายถึงความเสียหายหรือหายนะเลยทีเดียว หากวันไหนที่ฟ้าอึมครึม ต้องคำนวณให้ดีว่าฝนจะตกหรือไม่ หากคำนวนพลาดจะทำให้เราได้ไม่คุ้มกับที่เสียครับ


สิ่งที่ต้องระวังสำหรับการขายของ ก็คือ เรื่องของลิขสิทธิ์ หากเราขายของที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ต้องระวังเจ้าหน้าที่ที่มาตรวจสอบตามตลาดนัดไว้ให้ดี ค่าปรับไม่ใช่น้อย ครับ หลักหมื่นเป็นต้นไป หรือ จำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ ฉะนั้น ระวังให้ดีครับ

......................................................................................

แนะนำหนังสือเคยอ่าน


คุยเฟื่องเรื่องสามก๊ก
 ความรักการอ่านในวรรณกรรมจีนของตัวผมเอง   เกิดขึ้นมาเพราะว่าผมจีบผู้หญิงคนหนึ่งที่มีนามสมมุติว่า   “น้องลูกหมี”  ด้วยความที่เธอเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยและสอนประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้   การที่ผมจะจีบน้องลูกหมีผมก็ต้องมีความรู้ในเรื่องประวัติศาสตร์ในสมองบ้างไม่มากก็น้อย    นี่คือจุดเริ่มต้นของการที่ผมตัดสินใจศึกษาวรรณกรรมจีน  สามก๊กครับ     (  ท่านสามารถที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับน้องลูกหมี  ได้ในหัวข้อบล็อกที่ชื่อว่า   “3NIS AAN”   และ   “37ISSIW   AVW” )
           หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือสามก๊กเล่มแรกที่ผมเริ่มอ่านเพราะผมอ่านหนังสือสามก๊กมาก่อนหน้านี้หลายสำนักมาก   อ่านไม่เคยจบครับ               แต่อยากจะบอกว่า    ”คุยเฟื่องเรื่องสามก๊ก”   เป็นหนังสือสามก๊กเล่มแรกที่ผมอ่านจบ  เพราะแค่ชื่อหนังสือก็สะท้อนเนื้อหาภายในและการใช้ภาษาที่สอดแทรกความเป็นตัวตนของโกวิท   ตั้งตรงจิตร    นักเขียนสารคดีดีเด่นแห่งชาติได้เป็นอย่างดี   ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายประวัติของตัวละคร    รวมไปถึงการแซวชื่อของตัวละครหรือชื่อเมืองต่าง ๆ  ภายในเรื่องที่ใส่แนวความคิดที่มีอารมณ์ขันของผู้เขียนลงไป   ผมอ่านแล้วผมยังอดหัวเราะไม่ได้กับไอเดียที่ชวนให้อารมณ์ดีของคุณโกวิท  
          ใครที่อ่านสามก๊กมาแล้ว  อ่านยังไงไม่เคยจบ   คุยเฟื่องเรื่องสามก๊ก   น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีอีกเล่มหนึ่งครับ

...................................................................................................

Saturday, April 21, 2012

37ISSIW VAW (-19-)

“พี่วิช ตักไอติมให้เค้าหน่อยดิ” น้องลูกหมีพูดออกมาในขณะน้องลูกหมีเองก็วุ่นอยู่กับเครื่องปิ้งขนมปัง และคุ้กกี้ “กินเยอะขนาดนี้ แม่บ้านจะว่าพวกเราไหมเนี่ย”ผมพึมพำออกมาด้วยความกังวลนิด ๆ แต่มือก็จ้วงตักไอติมในตู้อย่างไม่บันยะบันยัง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ณ ห้องรับรองลูกค้าของศูนย์บริการ เชฟโรเลต สุราษฎร์ธานีนี่เองแหละครับ ต้องยอมรับว่าการบริการของพนักงานที่มีต่อลูกค้าอย่างเราสองคนนั้นดีมาก ๆ ครับ วันนั้นเป็นวันที่น้องลูกหมีเอารถแคปติว่าคู่ใจมาถ่ายน้ำมันเครื่อง ผมก็เลยถือโอกาสนั่งรอเป็นเพื่อนน้องลูกหมีกันสองคน ก็เลยเข้าไปในห้องรับรองลูกค้า ไม่คิดเลยว่าพนักงานบริการดียังไม่พอครับ ยังมีของว่างของกิน ไอติมเต็มตู้ มีคุ้กกี้ ขนมปัง น้ำชา กาแฟ โอวัลติน น้ำอัดลมเต็มตู้เย็น เยอะแยะมากมาย สะใจไปเลยครับกับการกิน ยิ่งน้องลูกหมีกับผมรวมกันสองคนด้วยแล้ว กินระเบิดเถิดเทิงไปกันใหญ่ ล้างสต๊อกกันไปเลยเป็นการปิดท้ายรายการยามอาทิตย์ตกดินพอดี “ลูกหมี รอบหน้าถ้าจะถ่ายน้ำมันเครื่องเราน่าจะเกณฑ์เพื่อน ๆ ญาติ ๆ มาถล่มห้องรับรองลูกค้าที่ศูนย์บริการนี้สักหกเจ็ดคนดีกว่านะ เอาให้ชื่อลูกหมีกับป้ายทะเบียนรถลูกหมีติด Black List ของศูนย์บริการ ไปเลย 5555”ผมพูดติดตลก จนกระทั่งรถยนต์เสร็จจากการถ่ายน้ำมันเครื่อง เราจึงเดินทางกลับบ้าน ผมกับน้องลูกหมีมีบางสิ่งบางอย่างอยากจะบอกแก่ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์มาก ๆ ครับว่า รอบหน้าขอกระทะ แก๊ส และของสดพวกหมู ผัก ไว้ในตู้เย็นให้ด้วยน่ะหุหุ