การที่เรารู้จักมักจี่ มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับคนหลาย ๆ คนในวงการอาชีพเดียวกันนั้นนับได้ว่าเปรียบเสมือนมีแหล่งข้อมูลจากหลาย ๆ ทาง ทำให้เรากลายเป็นคนหูไวตาไวมากขึ้นในวงการนั้น ๆ แต่เราเองก็มีเวลาและพลังงานที่จำกัดครับ ไม่สามารถที่จะไปทำความรู้จักกับพ่อค่าแม่ค้าทั้งตลาดนัดได้หมดหรอกครับ จากที่ผมได้ประสบพบเจอมาด้วยตัวเองนั้น ในทุกวงการจะมีบุคคลที่รู้ลึกรู้จริง รู้ไปเสียทุกอย่าง หากท่านเป็นคนหนึ่งที่เริ่มต้นขายของในตลาดนัดแล้วต้องการข้อมูลเชิงลึกอย่างที่ต้องการละก็ อยากจะแนะนำให้ท่านตามหาบุคคลดังกล่าวให้เร็วที่สุดครับ ผมขอใช้นามสมมุติละกันน่ะครับ เรียกคนประเภทนี้ว่า "คุณสา(รานุกรม)"
"คุณสา" นั้นสำหรับผม ไม่จำกัดว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายหรือว่ากระเทย แต่ด้วยความที่เค้าเป็นผู้ที่คลุกคลีอยู่กับวงการในพื้นที่นี้มาช้านาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ รู้จักพ่อค้าแม่ขายทุกคน รู้ไปกระทั่งว่าลูกสาวครอบครัวนี้ไปได้กับครอบครัวนั้น ผัวคนนั้นไปเที่ยวมีชู้กับนักร้องแถวนี้ เปรียบได้กับแหล่งข้อมูลดิบที่ยังไม่ได้ผ่านการปรุงแต่ง จัดว่าเป็น กูเกิลแห่งตลาดนัดก็ไม่ปาน
เราได้รู้จักกันโดยบังเอิญครับ ช่วงที่ผมเริ่มไปขายของตามตลาดนัดช่วงแรก ๆ ผมก็เหมือนนักมวยสมัครเล่นที่พึ่งจะขึ้นชกมวยอาชีพโดยที่ไม่มีประสบการณ์ ทำอะไรไม่ถูกครับ แน่นอนว่าหากเรากำลังหลงทางเราต้องมีพี่เลี้ยงไว้คอยชี้แนะแนวทาง
วันนั้น"คุณสา"ได้เดินเข้ามาทักทายผมด้วยความบังเอิญ ตอนนั้นผมนั่งตบยุงพลางมองลูกค้าเดินผ่านล๊อคของผมไปด้วยความเบื่อหน่าย
"เอ้า ไอ้น้อง พึ่งเริ่มมาขายของตลาดนัดหรือป่าว พี่ไม่เคยเห็นหน้าเราเลยน่ะ" คุณสา เปิดประเด็นในการเริ่มสนทนา
"ขราบบบบบ ผมเพิ่งเริ่มเริ่มมาขายครับพี่ ยังไม่ถึงห้าวันเลย" ผมตอบ
"พี่จะบอกอะไรให้น่ะน้อง ที่ตรงนี้ของน้องอะ เขาไม่นิยมมาตั้งกัน ทำเลมันไม่ค่อยดี แล้วน้องรู้ไหมว่า @#$@%256 ..........................................................''
เยอะแยะไปหมด สรุปว่าวันนั้นวันเดียวที่ผมได้มาเจอกับคุณสา ผมได้รับความรู้มากกว่าช่วงเวลาสองสามวันที่มาขายของตลาดนัดโดยลำพังคนเดียวทั้งหมดซะอีก ทั้งเรื่องทำเลที่ตั้งของแผง การดึงดูดความสนใจของลูกค้า วิธีการที่จะทำให้ได้ล๊อคทำเลดี ๆ รวมไปถึงทุกเรื่องที่จำเป็น
คุณต้องหาคุณสาให้เจอ แล้วคุณจะพบกับมิติใหม่ในตลาดนัด
............................................................................................................
Thursday, December 27, 2012
Friday, May 18, 2012
เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน (-5-) ช่วงเปลี่ยนผ่านจากพ่อค้า สู่ วงการอสังหาริมทรัพย์
มาถึงฤดูกาลมรสุมปลายเดือนเมษายนจนถึงต้นเดือนพฤษภาคมครับ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีแทบทุกวันจะมีเมฆครึ้มและฝนฟ้าคะนองในช่วงเวลาตั้งแต่ 17.00 น. เป็นต้นไปครับ ฝนตกตอนไหนไม่ตกดันมาตกเอาในช่วงที่ผมกำลังเตรียมตัวไปขายของทุกที และเมื่อฟ้าฝนไม่เป็นใจอย่างนี้ติดต่อกันหลาย ๆ วันเข้า ผมก็เลยต้องร้องเพลงรอ นอนเกาพุงอยู่ที่บ้านอย่างเบื่อหน่าย รายได้ก็หายไป รายจ่ายก็เพิ่มขึ้นทุกวัน
ผมจึงคิดว่าหากฟ้าฝนเป็นแบบนี้ติดต่อกันไปทุก ๆ วัน ไม่ดีแน่ เราต้องหารายได้จากการที่ต้องทำงานอะไรเพิ่มอีกสักอย่างหนึ่งที่สามารถตอบโจทย์การหารายได้ของผมตอนนี้ ถ้าคิดว่ารอให้มรสุมมันพ้นผ่านไปแล้วกลับมาขายของตลาดนัด ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะพ้นผ่านไปหรือต้องรอไปถึงเมื่อไหร่และเมื่อถึงเวลานั้นเป็นช่วงเดือนมิถุนายน ก็เปลี่ยนผ่านมาเป็นช่วงหน้าฝนอีก อุปสรรคเรื่องฟ้าฝนก็ไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อไตร่ตรองดูแล้วจึงคิดว่าเราต้องอย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดหรืองานใดให้มาก ไม่งั้นเราก็จะเกิดทุกข์เสียเอง แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดี
จนกระทั่งเย็นวันหนึ่งผมก็ไปขายของตลาดนัดเพราะท้องฟ้าเปิดในยามเย็น จำได้ว่าก่อนหน้านี้ทั้งสัปดาห์ฝนตกทุกวันแต่วันนี้ท้องฟ้าเปิด แสงแดดยามเย็นทอผ่านช่องตรงกลางของก้อนเมฆที่รวมตัวกันคล้าย ๆ รูปโดนัทจนเห็นแสงสีทองผ่านมาเป็นเส้นทอดลงมา ผมมองสภาพอากาศแล้วคิดว่าเป็นวันที่ดีจึงเตรียมตัวและเดินทางไปตลาดนัด เมื่อตั้งแผงเสร็จ ก็นั่งขายตามปกติเหมือนเช่นที่เคยทำ นั่งคุยกับพ่อค้าล๊อคติดกันอยู่เพลิน ๆ ลูกค้าผู้ชายคนหนึ่งก็เดินมาหยุดอยู่ตรงล๊อคที่ผมขายของแล้วเรียกชื่อผม
“อ้าวววว ! วิช มาขายของตลาดนัดตั้งแต่เมื่อไหร่”
ผมหันไปดูจึงได้รู้ว่าเจ้าของเสียงที่เรียกนั้นคือ คุณไก่ เพื่อนเก่าสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยนั่นเอง คุยกันไปคุยกันมาจึงได้รู้ว่าคุณไก่นั้นทำงานอยู่ในบริษัทประเมินทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์และกำลังจะลาออกในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมพอดี เหมาะเจาะกับตัวผมที่ต้องการงานประเภทบ้านและที่ดินอยู่พอดี จึงจัดการแลกเบอร์โทรศัพท์ หลังจากวันนั้นผมก็คุยกับคุณไก่เรื่องที่ว่าต้องเตรียมตัวหาข้อมูลและหลักฐานต่าง ๆ ว่าต้องใช้อะไรบ้าง เพื่อไปสมัครงานในบริษัทดังกล่าวให้ได้ และตัดสินใจว่าอาจจะหยุดบทบาทการเป็นพ่อค้าอูคูเลเล่ เพื่อที่จะได้เอาเวลาไปทุ่มและเรียนรู้งานใหม่ให้คล่องเสียก่อน
พอมานั่งทบทวนและคิดดูว่าหลังจากที่ผมได้ขายของตลาดนัดอยู่พักใหญ่ ๆ ก็ได้รู้และเข้าใจอะไรต่าง ๆ มากยิ่งขึ้นและเป็นประสบการณ์ในชีวิตที่ไม่สามารถประเมินค่าได้มากมาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เรียนรู้ตลาดนัดเปรียบได้กับห้องเรียนขนาดใหญ่ มีเพื่อนร่วมชั้นเป็นพ่อค้าแม่ขายร่วมตลาดนัดที่คอยให้คำปรึกษาและข้อมูลต่าง ๆ ทั้งกลยุทธ์ วิธีการขาย การตั้งแผง ส่วนลูกค้าเปรียบได้กับคุณครู คอยให้บทเรียนจากความเป็นจริง ผมเชื่อว่าสิ่งที่เจอมาทั้งหมดย่อมเป็นประโยชน์ต่อการคิดและตัดสินใจของผมเองในการทำงานต่าง ๆ ในอนาคตอย่างแน่นอน
สำหรับคนที่ต้องการจะหารายได้จากการขายตลาดนัด เป็นการขายที่สร้างรายได้ได้เป็นอย่างดีและผมสนับสนุนเต็มที่ที่จะให้ทุกคนได้มีประสบการณ์ทางด้านนี้ การเริ่มต้นอย่างแรกเลยที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นรูปธรรมคือ ต้องลงมือทำให้มันเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดโดยไม่ต้องคำนึงว่ามันจะต้องสมบูรณ์แบบครับ นี่คือวิถีของผมที่ผมอยากจะแนะนำไว้เป็นบันไดขั้นแรก ส่วนขั้นต่อ ๆ ไปนั้นจะง่ายขึ้นเรื่อย ๆ ครับ
จำไว้ว่า ยากที่สุดคือการเริ่มต้นเดินก้าวแรกครับ ส่วนก้าวต่อไปจะง่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ

และอีกไม่นานผมต้องเข้าสู่วงการอาชีพที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของคนทั้งโลก นั่นคืออสังหาริมทรัพย์ โอ้ เกิดมาไม่เคยคาดฝันมาก่อนเลยจอร์จ
...................................................................................
แนะนำหนังสือเคยอ่าน
ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบมืออาชีพ
หนังสือเล่มนี้เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์กว่า 20 ปี ของอาจารย์ อนุชา กุลวิสุทธิ์ครับ ที่ผมต้องเรียกว่าอาจารย์เพราะว่าผมเคยได้เข้ารับการสัมมนาโดยมีอาจารย์อนุชา กุลวิสุทธิ์เป็นวิทยากร ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อาจารย์อนุชาได้มอบไว้ให้ผู้สัมมนาทุกคน จัดได้ว่าเป็นหนังสืออีกเล่นหนึ่งที่อ่านแล้วสามารถที่จะนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง ๆ ครับ เนื้อหารอบด้านและครอบคลุม ผู้ที่รักการลงทุนในบ้านและที่ดินแต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรกับเส้นทางสายนี้ ผมขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ให้ท่านไปลองศึกษาดู รับรองว่าไม่ผิดหวังครับ
..........................................................................................................
Friday, May 11, 2012
เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน (-4-) ประสบการณ์ขายของในตลาดวันแรก
" ดูก่อนได้นะครับ "
"................."
"สอบถามได้น่ะครับ ราคาคุยกันได้ ไม่แพงอย่างที่คิดครับ ลองดูลายนี้ไหมครับ ตัวนี้จะเป็นลายไม้ยิ้มน่ารักน่าชัง ลองดีดลองเล่นได้เต็มที่เลยน่ะน้อง เสียงดีไม่แพ้ชาติใดในโลก" พลางผมก็ยื่นมือหยิบอูคูเลเล่ตัวดังกล่าวขึ้นมาจากแผงก่อนที่จะส่งไปที่มือของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
"แล้วตัวนี้ ชื่อของมันเรียกว่า size อะไรหรอครับเนี่ย" ลูกค้าถามผมกลับมา มือก็ดีดอูคูเลเล่ลายไม้ยิ้มที่ผมส่งให้ไปพลาง พร้อมทั้งยืนมองหน้าผมเพื่อรอคำตอบดังกล่าว
"น้องครับเดี๋ยวพี่ตั้งสายอูคูเลเล่ให้ใหม่น่ะ สายที่หนึ่งมันเพี้ยนอยู่นิดนึง" ผมรีบเบี่ยงเบนประเด็นด้วยคำถามพร้อมทั้งยื่นมือขออูคูเลเล่จากลูกค้า
"เขาเรียกว่าไซส์อะไรพี่" ลูกค้าย้ำถึงคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างจริงจัง
"อืม..... อ่อม .... มันเป็น size ที่เล็กที่สุดอะครับ คือมันชื่อว่า ....." ผมหยุดชะงักเพราะจำชื่อเรียกไม่ได้
.
.
.
.
นี่คือบทสนทนาของการขายอูคูเลเล่วันแรกครับ มันคือวันแรกในชีวิตที่ผมได้มาตั้งแผงขาย เป็นวันแรกของการขายของในตลาดนัดที่วุ่นวายมากที่สุดวันหนึ่งเลยก็ว่าได้เพราะผมไม่มีทั้งประสบการณ์ ความรู้และความคุ้นเคย
วันแรกนี้จำได้เลยว่าขับรถมอเตอร์ไซค์ที่บรรทุกอูคูเลเล่เต็มหลังรถมาถึงตลาดนัดตั้งแต่เวลายังไม่สี่โมงเย็นครับ ท่ามกลางบรรยากาศตลาดนัดที่พ่อค้าแม่ค้าจ้าวอื่น ๆต่างวุ่นวายในการตั้งแผงขายของของตัวเองยามบ่ายแก่ ๆ อากาศค่อนข้างร้อนและมีบรรดาผู้คนเริ่มที่จะเข้ามาเดินจับจ่ายใช้สอยกันบ้างแล้ว ทำให้มีเสียงลูกค้า ผู้คน และพ่อค้าแม่ขายคุยต่อรองราคากันจ้าละหวั่น จึงวุ่นวายมาก ๆ แต่กว่าที่ผมสามารถที่จะเริ่มตั้งแผงเสร็จพร้อมที่จะขายของตอนนั้นก็ปาเข้าไปเกือบหกโมงเย็นแล้ว เพราะผมไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ว่าหากต้องการที่จะลงขายของล๊อคตรงนี้ต้องไปติดต่อใคร ด้วยความที่มั่วซั่วตามภาษาพ่อค้าหน้าใหม่ก็เลยดันไปตั้งแผงที่มีเจ้าของอยู่แล้ว เมื่อเจ้าของที่เขามาก็เลยถูกไล่ให้ไปล๊อคอื่น พอไปล๊อคอื่นที่คิดว่าว่าง ก็ดันมีเจ้าของซะอีกก็เลยถูกเนรเทศซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง
ทีนี้ผมก็เลยไปถาม เจ้าหน้าที่จัดล๊อคประจำตลาดนัด ซะเลยว่าตรงไหนที่ยังเป็นล๊อคว่าง ๆ อยู่ ผมยังจำคำพูดที่ว่า
"น้องเอ้ยยยย ล๊อคไหนว่างน้องก็ลงของแล้วก็ขายไปได้เลย" นี่คือคำพูดของเจ้าหน้าที่จัดล๊อคประจำตลาดนัดครับที่พูดจาเสียงค่อนข้างฉะฉานมาที่ผม
"แล้วล๊อคตรงนี้ว่างอยู่ งั้นผมเอาของมาขายตรงนี้เลยละกันน่ะ" เป็นคำพูดยืนยันของผมท่ามกลางบรรยากาศที่แสนวุ่นวายกลางตลาดนัด พร้อมทั้งผมก็ชี้นิ้วไปยังล๊อคว่างดังกล่าว พี่เจ้าหน้าที่จัดล๊อคก็พยักหน้าเป็นการรับทราบเรียบร้อย เพื่อไม่ให้เสียเวลาผมจึงรีบยกอูคูเลเล่ไปที่ล๊อคด้วยความรวดเร็วและรีบจัดของทันที
จัดของไม่ทันเสร็จครับ ผมก็สังเกตเห็นผู้หญิงสองคนยืนจังก้าอยุ่ตรงหน้าผม พร้อมทั้งวางลังผ้าและราวผ้า และคำถามที่ว่า
"น้องค่ะ ล๊อคนี้น้องจ่ายเงินค่าล๊อคหรือยังค่ะ " สิ้นคำถามดังกล่าวผมรู้ได้ทันทีว่า ล๊อคที่ผมกำลังนั่งจัดของอยู่ตอนนี้คงมีเจ้าของอยู่ตามเคย และเจ้าของล๊อคนี้เธอก็ยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้วด้วย
"ยังไม่จ่ายเลยครับ "
"ล๊อคโซนฝั่งซ้ายที่น้องนั่งอยู่เนี่ยจริง ๆ แล้วจะเป็นล๊อคที่เขาต้องจ่ายค่าเช่าเป็นรายเดือนกัน ถ้าน้องพึ่งมาขายแล้วยังไม่มีล๊อครายเดือนประจำ น้องต้องไปขายโซนฝั่งขวาน่ะ เพราะโซนนั้นเป็นโซนรายวันค่ะ " ประโยคของแม่ค้าขายผ้าที่เป็นเจ้าของล๊อคทำเอาผมตาสว่างเลยครับ คิดในใจว่า ถ้ามีคนมาบอกกับผมแบบนี้แต่แรกผมจะได้รู้ว่าควรจะทำยังไง ตั้งแผงตรงไหนซะตั้งนานแล้ว
นึกไปนึกมาก็ดันเจ็บใจเจ้าหน้าที่จัดล๊อคประจำตลาดนัดอยู่นิดนึง มันจัดล๊อคให้ผมภาษาอะไรของมันว่ะเนี่ย ที่ตรงไหนที่มีเจ้าของไม่ยอมบอก แต่ดันพูดประมาณว่า 'ตรงไหนว่าง ลงได้เลยไอน้อง' แม่ง แล้วเขาจะจ้างมันมาจัดระเบียบทำ บักกร๊วก อะไรว่ะเนี่ย งง
สุดท้ายก็ได้ล๊อคขายของครับ เป็นล๊อคเยื้อง ๆ กับล๊อคของสองแม่ค้าขายผ้านี่เอง พอแดดร่มลมตก ตะวันเริ่มโพล้เพล้ ทีนี้เกิดปัญหาแล้วครับเมื่อเริ่มมืดก็ต้องใช้แสงสว่างจากหลอดไฟ บรรดาพ่อค้าแม่ค้ามืออาชีพจ้าวอื่น ๆ เขามีหลอดไฟกันหมด ส่วนมือสมัครเล่นอย่างผมนั่นหรือเตรียมมาแน่นอนครับเป็นหลอดประหยัดไฟเบอร์ห้าด้วย แต่สายไฟมันสั้นนิดเดียว ไม่สามารถที่จะไปเสียบกับเต้ารับที่ใกล้ที่สุดได้ครับ สุดท้ายก็ต้องนั่งขายมืด ๆ กันไป เป็นความสับเพร่าและพลาดในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งผมคิดว่าความผิดพลาดในวันนี้ทั้งหมดพรุ่งนี้มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นซ้ำสองแน่นอน ยังไงซะวันนี้แม้ว่าจะขายอะไรไม่ได้แต่ได้ประสบการณ์มาแล้วครับ ผมก็นั่งเขียนรายการสิ่งที่ต้องแก้ไขในวันพรุ่งนี้ลงในสมุดประจำตัว นั่งเขียนไม่ทันเสร็จ ลูกค้ารายแรกในชีวิตของผมก็เดินตรงเข้ามายืนด้อม ๆ มอง ๆ อูคูเลเล่อย่างเงียบ ๆ
"........................................." ลูกค้ายืนมองสินค้าอย่างเงียบๆ
" ดูก่อนได้นะครับ " ผมพูดเชิญชวน
"................." ก็ยังยืนมองสินค้าอย่างเงียบ ๆ ผมคิดในใจว่าทำไงดีว่ะเนี่ย นึกขึ้นมาได้ว่าการขายของต้องมีการโปรโมทให้สินค้านั้นเป็นที่น่าสนใจเสียก่อนเป็นขั้นตอนแรก จึงไม่รอช้าครับ
"สอบถามได้น่ะครับ ราคาคุยกันได้ ไม่แพงอย่างที่คิดครับ ลองดูลายนี้ไหมครับ ตัวนี้จะเป็นลายไม้ยิ้มน่ารักน่าชัง สามารถที่จะลองดีด ลองเล่นได้เต็มที่เลยนะครับ เสียงดีไม่แพ้ชาติใดในโลก"
พลางผมก็ยื่นมือหยิบอูคูเลเล่ตัวดังกล่าวขึ้นมาจากแผงก่อนที่จะส่งไปที่มือของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
"แล้วอูคูเลเล่ size เล็กสุดนี้ ชื่อของมันเรียกว่า size อะไรหรอครับเนี่ย" ถามเสร็จมือก็ดีดอูคูเลเล่ลายไม้ยิ้ม ไปพลาง พร้อมทั้งยืนมองหน้าผมเพื่อรอคำตอบดังกล่าว ผมสะดุ้งเฮือกกับคำถาม .....
"น้องครับเดี๋ยวพี่ตั้งสายอูคูเลเล่ให้ใหม่น่ะ สายที่หนึ่งมันเพี้ยนอยู่นิดนึง" ผมรีบเบี่ยงเบนประเด็นด้วยคำถามพร้อมทั้งยื่นมือขออูคูเลเล่จากลูกค้า
"เขาเรียกว่า size อะไรพี่" ลูกค้าย้ำถึงคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างจริงจัง
"อืม..... อ่อม .... มันเป็น sizeที่เล็กที่สุดอะครับ คือมันชื่อว่า ....." ผมหยุดชะงักเพราะจำชื่อเรียกไม่ได้จริง ๆ ชื่อของมันนั้นเป็นศัพท์เฉพาะทางดนตรีเลยครับ ผมรู้แค่ว่าอูคูเลเล่มีทั้งหมดสามขนาด คือเล็ก กลาง และก็ใหญ่ครับ
ขนาดใหญ่มีชื่อเรียกว่า "เทรนเนอร์"
ส่วนขนาดกลางเรียกว่า"คอนเสิร์ต"
แต่ไม่รู้ว่าขนาดเล็กสุดของอูคูเลเล่นั้นมันชื่ออะไร ซึ่งมันน่าเจ็บใจตรงที่มันเป็นขนาดที่ผมขายอยู่แต่ดันไม่รู้ชื่อนี่แหละครับ บักกร๊วก จริงๆ
แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าถ้าเราไม่สามารถที่จะตอบคำถามลูกค้าได้เราก็จะขาดความน่าเชื่อถือในการขายครับ คิดว่าถ้าโทรถามบรรดาพี่ ๆ นักดนตรีรุ่นพี่ก็คงจะไม่ทันการแล้ว ด้วยความที่กลัวเสียฟอร์มนักดนตรีเก่าครับ ก็เลยย้อนถามกลับไปเพื่อลองเชิงลูกค้าดู
"อูคูเลเล่จะมีด้วยกันสามขนาดครับ แตกต่างจากกีตาร์นะครับ" ผมเฉไฉไปเรื่องกีตาร์ทันที "ปกติเนี่ย น้องเล่นกีตาร์เป็นหรือป่าวครับ" เป็นการถามเพื่อลองเชิงและวัดภูมิความรู้เรื่องดนตรี
"กีตาร์เล่นไม่เป็นครับ เล่นเป็นแต่อูคูเลเล่ " อ้าวละมึง ผมรู้สึกตัวลีบเล็กไปในทันที ดันมาเจอคนที่มีความรู้เรื่องอูคูเลเล่มากกว่าซะงั้น เกิดผมให้ขอ้มูลเกี่ยวกับอูคูเลเล่มั่วซั่วไปละก็หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลยน่ะเนี่ย
"ลงเรียนกี่คอร์ดกี่ชั่วโมงแล้วหรอครับ คุณน้อง" ผมถาม
"ไปเรียนได้ชั่วโมงเดียวแล้วก็ไม่ไปอีกเลยอ่ะ เพราะว่าขี้เกียจอะพี่" คำตอบของน้องเขาทำให้ผมรู้สึกว่า ตัวผมเองคือผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่ออูคูเลเล่ที่สุดในตลาดนัดแห่งนี้อีกครั้ง "ตกลงมันชื่อว่าอะไรหรอครับ ไอเจ้าอูคูเลเล่ size เล็กสุดเนี่ย" น้องลูกค้าสุดหล่อกลับมาสู่คำถามมรณะอีกครั้ง
ผมนิ่งไปประมาณสามวินาที ประมวณผลในสมองแล้วว่า นี่คือคำตอบที่ผมคิดว่ามันใช่ที่สุดแล้วที่ผมพอจะนึกขึ้นมาได้ และน้องลุกค้าคนนี้คงจะไม่รู้ชื่อจริง ๆ จึงบอกน้องเขาไปแบบเต็มเสียง ชัดถ้อย ชัดคำว่า
"ฟีฟาราโน่ !"
"หา ! อะไรน่ะพี่ ???"
คิดในใจ ชิปหายแล้วกูพูดชื่อผิดแน่เลย สาดเอ้ยยยยย
"อีกทีได้ไหมพี่ พี่พูดอะไรผมฟังไม่รู้เรื่อง" ลูกค้าแสดงเจตจำนงค์ว่า Again Please . ตอนนั้นรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงครับ
"ซูซีราโน่ ! " - - "
"หา ! อีกทีพี่"
เอาละเว้ยบอกไปสองชื่อ แม่งไม่ซ้ำกันซักชื่อ อย่าว่าแต่คนฟังเลยครับที่มึน คนพูดมึนกว่าอีกครับ
ทันใดนั้นมีเสียงสวรรค์ดังขึ้นมาจาก Nokia คู่ใจ ดูรายชื่อบุคคลที่โทรเข้ามาแล้วเป็นบุคคลที่สวรรค์ส่งมาเพื่อผมครับ เขาคนนั้นคือ อาจารย์แซมครับ เป็นหุ้นส่วนและเป็นมือกีตาร์วงเดียวกับผมรวมทั้งเป็นอาจารย์สอนดนตรีด้วยครับ โทรมาได้จังหวะมาก ๆ ผมไม่รอช้าครับ รีบบอกลูกค้าว่า ขอสองนาที เดี๋ยวผมขอตัวรับโทรศัพท์ด่วนก่อน พลางเดินออกมาจากล๊อคที่ขายของให้ไกลพอที่จะให้ลูกค้าไม่ได้ยินเสียงการคุยโทรศัพท์ของผม
"โหลขราบ พี่แซม"
"อ้าววิช เป็นไงบ้างขายของที่ตลาดนัดวันแรก ขายดีป่ะ " พี่แซมถาม
"มั่วซั่วดีพี่ แล้วตอนนี้ก็กำลังมั่วได้จังหวะพอดีเลยพี่ พี่ช่วยผมหน่อยดิ "
"มีไรก็รีบว่ามา"
"อูคูเลเล่ ขนาดเล็กสุดมันชื่อว่าอะไรแล้วน่ะ" ผมถาม
" โซปราโน่ ไงไอวิชพี่เคยบอกไปจำไม่ได้หรือไงว่ะ" พี่แซม จวก ผมไปหนึ่งดอก
"โอเคพี่ ขอบใจมากครับ เดี๋ยวอีกสองนาทีผมโทรกลับน่ะ ติดลูกค้าอยู่ แค่นี้นะขราบบบ แคร๊ก ตู้ด ๆ ๆ ๆ ๆ " เสร็จจากการคุยโทรศัพท์ก็รีบเดินไปที่แผงอีกครั้ง
และครั้งที่สามผมก็สามารถบอกชื่อได้ถูกต้องสักที ซึ่งแม้ว่าลูกค้าจะไม่ได้ซื้ออูคูเลเล่จากผมไป แต่ผมก็ได้บทเรียนครับ ว่าเราต้องรู้ในสิ่งที่เราขายให้มากที่สุด จำได้ควรจะจำให้หมด แต่ถ้าจำไม่หมด จดดีกว่าจำครับ
แค่หวนรำลึกวันแรกของการขายเท่านั้นและก็อยากรู้ว่าหลาย ๆ คนนั้นเคยเป็นเหมือนที่ผมเป็นด้วยหรือป่าว
อย่างน้อยสำหรับวันแรกแม้จะผิดพลาดอะไรไปบ้างก็ถือซะว่า แม้เราจะเดินก้าวล้มไปข้างหน้า ก็ยังดีกว่ายืนตั้งท่าสวยอยู่กับที่ จริงไหมครับ
"................."
"สอบถามได้น่ะครับ ราคาคุยกันได้ ไม่แพงอย่างที่คิดครับ ลองดูลายนี้ไหมครับ ตัวนี้จะเป็นลายไม้ยิ้มน่ารักน่าชัง ลองดีดลองเล่นได้เต็มที่เลยน่ะน้อง เสียงดีไม่แพ้ชาติใดในโลก" พลางผมก็ยื่นมือหยิบอูคูเลเล่ตัวดังกล่าวขึ้นมาจากแผงก่อนที่จะส่งไปที่มือของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
"แล้วตัวนี้ ชื่อของมันเรียกว่า size อะไรหรอครับเนี่ย" ลูกค้าถามผมกลับมา มือก็ดีดอูคูเลเล่ลายไม้ยิ้มที่ผมส่งให้ไปพลาง พร้อมทั้งยืนมองหน้าผมเพื่อรอคำตอบดังกล่าว
"น้องครับเดี๋ยวพี่ตั้งสายอูคูเลเล่ให้ใหม่น่ะ สายที่หนึ่งมันเพี้ยนอยู่นิดนึง" ผมรีบเบี่ยงเบนประเด็นด้วยคำถามพร้อมทั้งยื่นมือขออูคูเลเล่จากลูกค้า
"เขาเรียกว่าไซส์อะไรพี่" ลูกค้าย้ำถึงคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างจริงจัง
"อืม..... อ่อม .... มันเป็น size ที่เล็กที่สุดอะครับ คือมันชื่อว่า ....." ผมหยุดชะงักเพราะจำชื่อเรียกไม่ได้
.
.
.
.
นี่คือบทสนทนาของการขายอูคูเลเล่วันแรกครับ มันคือวันแรกในชีวิตที่ผมได้มาตั้งแผงขาย เป็นวันแรกของการขายของในตลาดนัดที่วุ่นวายมากที่สุดวันหนึ่งเลยก็ว่าได้เพราะผมไม่มีทั้งประสบการณ์ ความรู้และความคุ้นเคย
วันแรกนี้จำได้เลยว่าขับรถมอเตอร์ไซค์ที่บรรทุกอูคูเลเล่เต็มหลังรถมาถึงตลาดนัดตั้งแต่เวลายังไม่สี่โมงเย็นครับ ท่ามกลางบรรยากาศตลาดนัดที่พ่อค้าแม่ค้าจ้าวอื่น ๆต่างวุ่นวายในการตั้งแผงขายของของตัวเองยามบ่ายแก่ ๆ อากาศค่อนข้างร้อนและมีบรรดาผู้คนเริ่มที่จะเข้ามาเดินจับจ่ายใช้สอยกันบ้างแล้ว ทำให้มีเสียงลูกค้า ผู้คน และพ่อค้าแม่ขายคุยต่อรองราคากันจ้าละหวั่น จึงวุ่นวายมาก ๆ แต่กว่าที่ผมสามารถที่จะเริ่มตั้งแผงเสร็จพร้อมที่จะขายของตอนนั้นก็ปาเข้าไปเกือบหกโมงเย็นแล้ว เพราะผมไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ว่าหากต้องการที่จะลงขายของล๊อคตรงนี้ต้องไปติดต่อใคร ด้วยความที่มั่วซั่วตามภาษาพ่อค้าหน้าใหม่ก็เลยดันไปตั้งแผงที่มีเจ้าของอยู่แล้ว เมื่อเจ้าของที่เขามาก็เลยถูกไล่ให้ไปล๊อคอื่น พอไปล๊อคอื่นที่คิดว่าว่าง ก็ดันมีเจ้าของซะอีกก็เลยถูกเนรเทศซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง
ทีนี้ผมก็เลยไปถาม เจ้าหน้าที่จัดล๊อคประจำตลาดนัด ซะเลยว่าตรงไหนที่ยังเป็นล๊อคว่าง ๆ อยู่ ผมยังจำคำพูดที่ว่า
"น้องเอ้ยยยย ล๊อคไหนว่างน้องก็ลงของแล้วก็ขายไปได้เลย" นี่คือคำพูดของเจ้าหน้าที่จัดล๊อคประจำตลาดนัดครับที่พูดจาเสียงค่อนข้างฉะฉานมาที่ผม
"แล้วล๊อคตรงนี้ว่างอยู่ งั้นผมเอาของมาขายตรงนี้เลยละกันน่ะ" เป็นคำพูดยืนยันของผมท่ามกลางบรรยากาศที่แสนวุ่นวายกลางตลาดนัด พร้อมทั้งผมก็ชี้นิ้วไปยังล๊อคว่างดังกล่าว พี่เจ้าหน้าที่จัดล๊อคก็พยักหน้าเป็นการรับทราบเรียบร้อย เพื่อไม่ให้เสียเวลาผมจึงรีบยกอูคูเลเล่ไปที่ล๊อคด้วยความรวดเร็วและรีบจัดของทันที
จัดของไม่ทันเสร็จครับ ผมก็สังเกตเห็นผู้หญิงสองคนยืนจังก้าอยุ่ตรงหน้าผม พร้อมทั้งวางลังผ้าและราวผ้า และคำถามที่ว่า
"น้องค่ะ ล๊อคนี้น้องจ่ายเงินค่าล๊อคหรือยังค่ะ " สิ้นคำถามดังกล่าวผมรู้ได้ทันทีว่า ล๊อคที่ผมกำลังนั่งจัดของอยู่ตอนนี้คงมีเจ้าของอยู่ตามเคย และเจ้าของล๊อคนี้เธอก็ยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้วด้วย
"ยังไม่จ่ายเลยครับ "
"ล๊อคโซนฝั่งซ้ายที่น้องนั่งอยู่เนี่ยจริง ๆ แล้วจะเป็นล๊อคที่เขาต้องจ่ายค่าเช่าเป็นรายเดือนกัน ถ้าน้องพึ่งมาขายแล้วยังไม่มีล๊อครายเดือนประจำ น้องต้องไปขายโซนฝั่งขวาน่ะ เพราะโซนนั้นเป็นโซนรายวันค่ะ " ประโยคของแม่ค้าขายผ้าที่เป็นเจ้าของล๊อคทำเอาผมตาสว่างเลยครับ คิดในใจว่า ถ้ามีคนมาบอกกับผมแบบนี้แต่แรกผมจะได้รู้ว่าควรจะทำยังไง ตั้งแผงตรงไหนซะตั้งนานแล้ว
นึกไปนึกมาก็ดันเจ็บใจเจ้าหน้าที่จัดล๊อคประจำตลาดนัดอยู่นิดนึง มันจัดล๊อคให้ผมภาษาอะไรของมันว่ะเนี่ย ที่ตรงไหนที่มีเจ้าของไม่ยอมบอก แต่ดันพูดประมาณว่า 'ตรงไหนว่าง ลงได้เลยไอน้อง' แม่ง แล้วเขาจะจ้างมันมาจัดระเบียบทำ บักกร๊วก อะไรว่ะเนี่ย งง
สุดท้ายก็ได้ล๊อคขายของครับ เป็นล๊อคเยื้อง ๆ กับล๊อคของสองแม่ค้าขายผ้านี่เอง พอแดดร่มลมตก ตะวันเริ่มโพล้เพล้ ทีนี้เกิดปัญหาแล้วครับเมื่อเริ่มมืดก็ต้องใช้แสงสว่างจากหลอดไฟ บรรดาพ่อค้าแม่ค้ามืออาชีพจ้าวอื่น ๆ เขามีหลอดไฟกันหมด ส่วนมือสมัครเล่นอย่างผมนั่นหรือเตรียมมาแน่นอนครับเป็นหลอดประหยัดไฟเบอร์ห้าด้วย แต่สายไฟมันสั้นนิดเดียว ไม่สามารถที่จะไปเสียบกับเต้ารับที่ใกล้ที่สุดได้ครับ สุดท้ายก็ต้องนั่งขายมืด ๆ กันไป เป็นความสับเพร่าและพลาดในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งผมคิดว่าความผิดพลาดในวันนี้ทั้งหมดพรุ่งนี้มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นซ้ำสองแน่นอน ยังไงซะวันนี้แม้ว่าจะขายอะไรไม่ได้แต่ได้ประสบการณ์มาแล้วครับ ผมก็นั่งเขียนรายการสิ่งที่ต้องแก้ไขในวันพรุ่งนี้ลงในสมุดประจำตัว นั่งเขียนไม่ทันเสร็จ ลูกค้ารายแรกในชีวิตของผมก็เดินตรงเข้ามายืนด้อม ๆ มอง ๆ อูคูเลเล่อย่างเงียบ ๆ
"........................................." ลูกค้ายืนมองสินค้าอย่างเงียบๆ
" ดูก่อนได้นะครับ " ผมพูดเชิญชวน
"................." ก็ยังยืนมองสินค้าอย่างเงียบ ๆ ผมคิดในใจว่าทำไงดีว่ะเนี่ย นึกขึ้นมาได้ว่าการขายของต้องมีการโปรโมทให้สินค้านั้นเป็นที่น่าสนใจเสียก่อนเป็นขั้นตอนแรก จึงไม่รอช้าครับ
"สอบถามได้น่ะครับ ราคาคุยกันได้ ไม่แพงอย่างที่คิดครับ ลองดูลายนี้ไหมครับ ตัวนี้จะเป็นลายไม้ยิ้มน่ารักน่าชัง สามารถที่จะลองดีด ลองเล่นได้เต็มที่เลยนะครับ เสียงดีไม่แพ้ชาติใดในโลก"
พลางผมก็ยื่นมือหยิบอูคูเลเล่ตัวดังกล่าวขึ้นมาจากแผงก่อนที่จะส่งไปที่มือของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
"แล้วอูคูเลเล่ size เล็กสุดนี้ ชื่อของมันเรียกว่า size อะไรหรอครับเนี่ย" ถามเสร็จมือก็ดีดอูคูเลเล่ลายไม้ยิ้ม ไปพลาง พร้อมทั้งยืนมองหน้าผมเพื่อรอคำตอบดังกล่าว ผมสะดุ้งเฮือกกับคำถาม .....
"น้องครับเดี๋ยวพี่ตั้งสายอูคูเลเล่ให้ใหม่น่ะ สายที่หนึ่งมันเพี้ยนอยู่นิดนึง" ผมรีบเบี่ยงเบนประเด็นด้วยคำถามพร้อมทั้งยื่นมือขออูคูเลเล่จากลูกค้า
"เขาเรียกว่า size อะไรพี่" ลูกค้าย้ำถึงคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างจริงจัง
"อืม..... อ่อม .... มันเป็น sizeที่เล็กที่สุดอะครับ คือมันชื่อว่า ....." ผมหยุดชะงักเพราะจำชื่อเรียกไม่ได้จริง ๆ ชื่อของมันนั้นเป็นศัพท์เฉพาะทางดนตรีเลยครับ ผมรู้แค่ว่าอูคูเลเล่มีทั้งหมดสามขนาด คือเล็ก กลาง และก็ใหญ่ครับ
ขนาดใหญ่มีชื่อเรียกว่า "เทรนเนอร์"
ส่วนขนาดกลางเรียกว่า"คอนเสิร์ต"
แต่ไม่รู้ว่าขนาดเล็กสุดของอูคูเลเล่นั้นมันชื่ออะไร ซึ่งมันน่าเจ็บใจตรงที่มันเป็นขนาดที่ผมขายอยู่แต่ดันไม่รู้ชื่อนี่แหละครับ บักกร๊วก จริงๆ
แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าถ้าเราไม่สามารถที่จะตอบคำถามลูกค้าได้เราก็จะขาดความน่าเชื่อถือในการขายครับ คิดว่าถ้าโทรถามบรรดาพี่ ๆ นักดนตรีรุ่นพี่ก็คงจะไม่ทันการแล้ว ด้วยความที่กลัวเสียฟอร์มนักดนตรีเก่าครับ ก็เลยย้อนถามกลับไปเพื่อลองเชิงลูกค้าดู
"อูคูเลเล่จะมีด้วยกันสามขนาดครับ แตกต่างจากกีตาร์นะครับ" ผมเฉไฉไปเรื่องกีตาร์ทันที "ปกติเนี่ย น้องเล่นกีตาร์เป็นหรือป่าวครับ" เป็นการถามเพื่อลองเชิงและวัดภูมิความรู้เรื่องดนตรี
"กีตาร์เล่นไม่เป็นครับ เล่นเป็นแต่อูคูเลเล่ " อ้าวละมึง ผมรู้สึกตัวลีบเล็กไปในทันที ดันมาเจอคนที่มีความรู้เรื่องอูคูเลเล่มากกว่าซะงั้น เกิดผมให้ขอ้มูลเกี่ยวกับอูคูเลเล่มั่วซั่วไปละก็หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลยน่ะเนี่ย
"ลงเรียนกี่คอร์ดกี่ชั่วโมงแล้วหรอครับ คุณน้อง" ผมถาม
"ไปเรียนได้ชั่วโมงเดียวแล้วก็ไม่ไปอีกเลยอ่ะ เพราะว่าขี้เกียจอะพี่" คำตอบของน้องเขาทำให้ผมรู้สึกว่า ตัวผมเองคือผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่ออูคูเลเล่ที่สุดในตลาดนัดแห่งนี้อีกครั้ง "ตกลงมันชื่อว่าอะไรหรอครับ ไอเจ้าอูคูเลเล่ size เล็กสุดเนี่ย" น้องลูกค้าสุดหล่อกลับมาสู่คำถามมรณะอีกครั้ง
ผมนิ่งไปประมาณสามวินาที ประมวณผลในสมองแล้วว่า นี่คือคำตอบที่ผมคิดว่ามันใช่ที่สุดแล้วที่ผมพอจะนึกขึ้นมาได้ และน้องลุกค้าคนนี้คงจะไม่รู้ชื่อจริง ๆ จึงบอกน้องเขาไปแบบเต็มเสียง ชัดถ้อย ชัดคำว่า
"ฟีฟาราโน่ !"
"หา ! อะไรน่ะพี่ ???"
คิดในใจ ชิปหายแล้วกูพูดชื่อผิดแน่เลย สาดเอ้ยยยยย
"อีกทีได้ไหมพี่ พี่พูดอะไรผมฟังไม่รู้เรื่อง" ลูกค้าแสดงเจตจำนงค์ว่า Again Please . ตอนนั้นรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงครับ
"ซูซีราโน่ ! " - - "
"หา ! อีกทีพี่"
เอาละเว้ยบอกไปสองชื่อ แม่งไม่ซ้ำกันซักชื่อ อย่าว่าแต่คนฟังเลยครับที่มึน คนพูดมึนกว่าอีกครับ
ทันใดนั้นมีเสียงสวรรค์ดังขึ้นมาจาก Nokia คู่ใจ ดูรายชื่อบุคคลที่โทรเข้ามาแล้วเป็นบุคคลที่สวรรค์ส่งมาเพื่อผมครับ เขาคนนั้นคือ อาจารย์แซมครับ เป็นหุ้นส่วนและเป็นมือกีตาร์วงเดียวกับผมรวมทั้งเป็นอาจารย์สอนดนตรีด้วยครับ โทรมาได้จังหวะมาก ๆ ผมไม่รอช้าครับ รีบบอกลูกค้าว่า ขอสองนาที เดี๋ยวผมขอตัวรับโทรศัพท์ด่วนก่อน พลางเดินออกมาจากล๊อคที่ขายของให้ไกลพอที่จะให้ลูกค้าไม่ได้ยินเสียงการคุยโทรศัพท์ของผม
"โหลขราบ พี่แซม"
"อ้าววิช เป็นไงบ้างขายของที่ตลาดนัดวันแรก ขายดีป่ะ " พี่แซมถาม
"มั่วซั่วดีพี่ แล้วตอนนี้ก็กำลังมั่วได้จังหวะพอดีเลยพี่ พี่ช่วยผมหน่อยดิ "
"มีไรก็รีบว่ามา"
"อูคูเลเล่ ขนาดเล็กสุดมันชื่อว่าอะไรแล้วน่ะ" ผมถาม
" โซปราโน่ ไงไอวิชพี่เคยบอกไปจำไม่ได้หรือไงว่ะ" พี่แซม จวก ผมไปหนึ่งดอก
"โอเคพี่ ขอบใจมากครับ เดี๋ยวอีกสองนาทีผมโทรกลับน่ะ ติดลูกค้าอยู่ แค่นี้นะขราบบบ แคร๊ก ตู้ด ๆ ๆ ๆ ๆ " เสร็จจากการคุยโทรศัพท์ก็รีบเดินไปที่แผงอีกครั้ง
และครั้งที่สามผมก็สามารถบอกชื่อได้ถูกต้องสักที ซึ่งแม้ว่าลูกค้าจะไม่ได้ซื้ออูคูเลเล่จากผมไป แต่ผมก็ได้บทเรียนครับ ว่าเราต้องรู้ในสิ่งที่เราขายให้มากที่สุด จำได้ควรจะจำให้หมด แต่ถ้าจำไม่หมด จดดีกว่าจำครับ
แค่หวนรำลึกวันแรกของการขายเท่านั้นและก็อยากรู้ว่าหลาย ๆ คนนั้นเคยเป็นเหมือนที่ผมเป็นด้วยหรือป่าว
อย่างน้อยสำหรับวันแรกแม้จะผิดพลาดอะไรไปบ้างก็ถือซะว่า แม้เราจะเดินก้าวล้มไปข้างหน้า ก็ยังดีกว่ายืนตั้งท่าสวยอยู่กับที่ จริงไหมครับ
..........................................................
แนะนำหนังสือเคยอ่าน
ตำราพิชัยสงครามซุนหวู่กับ 36 กลยุทธ์จีนโบราณ
เคยประหลาดใจไหมครับว่าทำอย่างไรให้คนนับแสนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเราสามารถที่จะเดินทางตบเท้ากันอย่างพร้อมเพรียงพร้อมใจกันหมด หรือว่าทำไมกองทัพที่มีขนาดใหญ่กว่ากลับต้องพ่ายแพ้แก่ปัญญาชนเพียงหยิบมือเดียว ความลับทั้งหมดอยู่ในหนังสือเล่มนี้แทบทั้งสิ้น พิชัยสงครามซุนหวู่จัดได้ว่าเป็นต้นตำหรับการสงครามโดยแท้ ที่หน่วยงานแทบจะทั่วทั้งโลกยังต้องบรรจุไว้ในแผนการศึกษาของโรงเรียนสอนทหาร
แม้ว่าจะเป็นตำราที่ใช้ในการสงคราม แต่ด้วยแก่นของเนื้อหานั้นสามารถที่จะเอามาใช้ในการดำเนินธุรกิจได้ลงตัวอย่างน่าประหลาด ผมอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วรู้สึกทึ่งในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษจีนเป็นอย่างมาก ขอขอบคุณคุณดาณุภา ไชยพรธรรมที่เรียบเรียงเนื้อหามาให้พวกเราได้อ่านกันครับ
....................................................................
Saturday, May 5, 2012
เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน (-3-) สถานที่ขายในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
นี่คือตำแหน่งแผนที่ของตลาดนัดในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งผมจะขายอยู่ตามตลาดนัดในตำแหน่งบนแผนที่แทบทั้งสิ้นเวียนกันไปทุกวันทั้งอาทิตย์โดยรายละเอียดแต่ละแห่งจะมีข้อมูลเกี่ยวกับราคาค่าเช่าแผงดังนี้
.......................................................................................................................................................
![]() |
ตลาดนัดจะอยู่เยื้องตรงกันข้ามกับโรงแรมไดมอนด์สุราษฎร์ธานี |
1. ตลาดนัดหน้าโรงแรมไดมอนด์
สำหรับตลาดแห่งจัดได้ว่าเป็นตลาดที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าค่อนข้างสูงเช่นกันด้วยความที่มีล๊อคให้เลือกค่อนข้างเยอะ ประกอบกับว่าตลาดนัดแห่งนี้อยู่ติดกับถนนศรีวิชัยซึ่งเป็นถนนสายหลัก ลูกค้าจึงคับคั่งอยู่เสมอ
ราคาค่าเช่าล๊อค : 60.- ต่อวัน (รวมค่าไฟ)
วันที่ขาย : ทุก ๆ วันจันทร์และวันศุกร์
ที่จอดรถ : ค่อนข้างสะดวกสบายมาก
แสงสว่างในตลาดนัด : ค่อนข้างสว่างเพียงพอ
![]() |
ตลาดนัดสำเภาทอง |
ทำเลของตลาดแห่งนี้อยู่ในตัวเมืองสุราษฎร์ธานี
อยู่ใกล้กับสี่แยกอนามัย ตลาดแห่งนี้ก็เหมือนกับตลาดนัดที่อื่นๆ ที่แบ่งเอาพื้นที่หนึ่งในสามของลานจอดรถยนต์ตลาดสดสำเภาทองมาทำเป็นล๊อค จัดได้ว่าเป็นตลาดที่สะอาดที่หนึ่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานีเลยครับ
ราคาค่าเช่าล๊อค : 30.- ต่อวัน
ราคาค่าไฟฟ้า : หลอดไฟดวงละ 5.-
วันที่ขาย : ทุก ๆ วันอังคารและวันพฤหัสบดี
ที่จอดรถ : ค่อนข้างสะดวกสบายมาก
แสงสว่างในตลาดนัด : สว่างพอสมควร
3. ตลาดดอนนก
จัดได้ว่าเป็นตลาดที่มีคนมาเดินจับจ่ายใช้สอยกันมากพอสมควร การจราจรในช่วงเย็น ๆอาจจะมีติดขัดบ้างในถนนเส้นดอนนก จะคับคั่งมาก ๆ ก็ช่วงที่โรงเรียนเปิดเทอมครับ
ราคาค่าล๊อค : 30.- ต่อวัน
ราคาค่าไฟฟ้า : หลอดไฟดวงละ 3.-
วันที่ขาย : ทุก ๆ วันอาทิตย์และวันจันทร์
ที่จอดรถ : สะดวกสบายพอสมควร
แสงสว่างในตลาดนัด : ควรเตรียมหลอดไฟไปเอง
4. ตลาดนัด ถนนคนเดิน
อยู่ตรงแยกนริศครับ เป็นตลาดนัดที่อยู่ในความดูแลของเทศบาลเมืองสุราษฎร์ธานี ถ้านึกไม่ออกว่าอยู่ตรงไหนก็ให้นึกถึงท่าเรือนอนไปเกาะสมุยเกาะพะงันอ่ะครับ แล้วจะมีทางแยกตรงห้องสมุดเฉลิมพระเกียรติอยู่ ตลาดแห่งนี้นับได้ว่าเป็นตลาดที่ได้รับความนิยมแห่งหนึ่งทีเดียว เพราะจะมีสินค้า OTOP ท้องถิ่นมาวางขายกันด้วยครับ
ราคาค่าล๊อค : ไม่มีครับ แต่จะเก็บเป็นค่ารักษาความสะอาดแค่ 20.-ต่อวัน แทน
ราคาค่าไฟฟ้า : หลอดไฟดวงละ 3.-
วันที่ขาย : ทุกวันเสาร์
ที่จอดรถ : ค่อนข้างจะหาที่จอดรถยาก
แสงสว่างในตลาดนัด : สว่างพอควร
ข้อมูลราคาค่าล๊อคนั้นสามารถที่จะมีการเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อครับ แต่ข้อมูลที่ลงไว้ให้ผมถือเอาราคาที่ผมเคยจ่ายเป็นหลักครับ อาจจะถูกหรือแพงกว่านี้ แล้วแต่โอกาสครับ
หวังว่าข้อมูลทั้งหมดที่ได้อ่านมาจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เริ่มต้นจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าตลาดนัดน่ะครับ ส่วนตัวผมแม้จะไม่ได้เป็นพ่อค้ามืออาชีพเหมือนที่หลาย ๆ คนเป็น แต่การที่ได้มาเริ่มต้นขายของตามตลาดนัดรวมแล้วแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ นั้น สำหรับผมนับได้ว่าตลาดนัดแต่ละแห่งได้มอบบทเรียนและประสบการณ์ที่ไม่สามารถจะประเมินค่าได้ครับ ข้อมูลทั้งหมดยังมีอีกเยอะครับที่ผมไม่สามารถจะโพสต์ให้อ่านได้หมด ไม่ว่าจะเป็น การทำตัวให้รอดพ้นจากเจ้าหน้าที่ลิขสิทธิ์ (หากเรามีสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์มาขาย ทางที่ดีอุดหนุนสินค้าลิขสิทธิ์ดีกว่าครับ) การต้องต่อสู้ฟาดฟันในการที่จะได้ล๊อคขายของในแต่ละวัน การต่อรองลูกค้า ลูกล่อลูกชนในการต่อรอง พฤติกรรมเลียนแบบที่เหมือน ๆ กันของลูกค้า คำถามยอดฮิต คำแสลงสุดฮอต ไว้ว่าง ๆ ค่อยเอามาลงไว้เพิ่มละกันน่ะครับ
ป้ายกำกับ:
ขายอะไรดี,
ดอนนก,
ไดมอนด์,
ตลาดน้ำ,
ถนนคนเดิน,
เริ่มต้นขายของตลาดนัด,
สำเภาทอง,
สุราษฎร์ธานี
ตำแหน่ง:
จ.สุราษฎร์ธานี ประเทศไทย
Tuesday, April 24, 2012
เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน(-2-)
ตามตลาดนัดในสุราษฎร์ธานีส่วนใหญ่จะขายเสื้อผ้าประมาณ 85% เลยทีเดียว ส่วนที่เหลือก็จะเป็นกิ๊ฟช๊อป เบ็ดเตล็ด ราคาที่ตั้งขายตามตลาดนัดโดยส่วนใหญ่จะตั้งไว้ที่ประมาณ 20 , 99 , 199 , 299อะไรประมาณนั้น เป็นราคาที่ทำให้ลูกค้าควักเพื่อจ่ายเงินซื้อง่ายๆ อะไรแบบนั้น
ช่วงแรก ๆ มีแม่ค้าพ่อค้าหลายรายมาถามผมว่า ราคาหลักพันแบบนี้ลูกค้าจะมีเงินซื้อหรือป่าว เพราะส่วนใหญ่ตามตลาดนัดนั้นราคาสินค้าจะไม่สูงขนาดนี้ ผมก็นั่งเงียบๆ พร้อมกับคิดในใจว่า จะซื้อหรือไม่ซื้อนั้น ผมมองว่ามันเป็นการตัดสินใจของลูกค้าครับ หากเขาพอใจเขาและเห็นว่าสินค่าผมราคาไม่แพงจริงๆ และคุ้มค่าที่จะซื้อ เรื่องเหล่านี้ย่อมไม่เป็นปัญหา แต่นั่นแหละครับมันจึงเกิดเป็นอุปสรรคที่สำคัญอย่างหนึ่งของผมคือ ราคาสินค้าที่ผมขายอยู่นั้นแม้จะถูกมากในสินค้าประเภทเดียวกันแต่เมื่อนำไปตั้งอยู่ตามตลาดนัดนั้นก็ถือว่าเป็นราคาที่จัดว่าสูงที่สุดในตลาดนัดเลยครับ สินค้าพวกนี้จะมีกลุ่มลูกค้าเฉพาะอยู่แล้ว เป็นสินค้าที่ต้องตั้งใจมาซื้อ หรือหากว่าบังเอิญอยากได้ก็ต้องมีเงินในกระเป๋าอยู่พอสมควร นี่คือสิ่งที่ผมต้องใช้ความอดทนในการขายครับ จะมาเปรียบเทียบกับเสื้อผ้ามือหนึ่งมือสองหรือ ต่างหูหรืออุปกรณ์เสริมโทรศัพท์ที่แต่ละอย่างราคาซื้อง่านยจ่ายคล่องนั้น ย่อมไม่ได้แน่นอน
![]() | |
แผงขายที่มีขนาดเล็กเท่ากับหนึ่งล๊อคให้เช่าพอดิบพอดี |
และอย่างที่เห็นครับว่าแผงของผมทีใช้ในการตั้สินค้านั้นเรียบง่ายมาก ๆ ด้วยความที่เราต้องการให้ต้นทุนต่ำที่สุดจึงมีการประยุกต์ใช้สิ่งที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุดและขนย้ายง่ายด้วยครับ ซึ่งโดยหลัก ๆ แล้วผมจะมี
1. ลังใส่ของสีดำ 2 ลูก เพื่อใช้เก็บอูคูเลเล่ในการขนย้ายไป - กลับระหว่างตลาดนัด กับที่บ้าน และนอกจากนั้นยังสามารถที่จะเอาเป็นโต๊ะเล็กๆ ไว้เพื่อตั้งเป็นแผงได้อีกด้วยในเวลาที่เราขายของ
2. ตะแกรงตะข่าย
3. ป้ายราคา
4. หลอดไฟ และปลั๊กไฟ
5. เก้าอี้ตัวเล็ก ๆ สักตัว เอาไว้นั่งขาย (จะได้ไม่เมื่อย)
เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน (-1-)
ประสบการณ์ใหม่ในชีวิตของผมหลังจากที่ผมตกงานประจำจากการเป็นนักดนตรีก็คือ การขายของตลาดนัดตามที่ต่าง ๆ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีครับ ขั้นตอนแรกเลยสำหรับทุกคนที่ก้าวเข้ามาเป็นพ่อค้าแม่ขายมือใหม่คงหนีไม่พ้นคำถามสุดฮิตครับว่า “ขายอะไรดี” ถ้าตีโจทย์ข้อแรกได้ คำตอบอื่นๆ ก็จะตามมาเอง สำหรับสิ่งที่ผมจะขายในฐานะที่เคยเป็นนักดนตรีก็คงจะหนีไม่พ้น “เครื่องดนตรี” และแน่นอนที่สุดว่าเครื่องดนตรีสุดฮิตที่ติดกระแสคงจะหนีไม่พ้น อูคูเลเล่ (Ukulele) ครับ ด้วยความที่เป็นเครื่องดนตรีขนาดเล็ก พกพาสะดวก เล่นง่าย ไม่เจ็บนิ้ว มีลายน่ารักให้เลือกซื้อ จนขนาดที่ว่าบางกระแสนั้นคนซื้อไปเพื่อเป็นเครื่องประดับอย่างเดียวก็มี
![]() |
อูคูเลเล่ลายไม้ครับ |
![]() |
ส่วนตัวนี้จะเป็นอูคูเลเล่ไฟฟ้า |
เอาละ ในเมื่อรู้แล้วว่าจะขายอะไร ขั้นตอนต่อมาก็ต้องมาเริ่มว่าจะขายที่ไหน และที่ที่นั้นต้องมีคนพลุกพล่านพอสมควร ก็คงไม่พ้นตลาดนัดครับ เป็นจุดเริ่มต้นที่มีต้นทุนต่ำมาก และมีโอกาสในการขายค่อนข้างสูงพอตัว สำหรับการเริ่มต้นเราควรจะต้องเตรียมค่าใช้จ่ายเอาไว้สองประเภท
- รายจ่ายวัฏจักร ได้แก่ ค่าเช่าแผง (หรือเรียกสั้นๆ ว่า “ค่าล๊อค”) ค่าไฟฟ้า ค่าทำความสะอาดแผง เป็นต้น
- รายจ่ายต้นทุน คือ ค่าวัสุดอุปกรณ์ในการตกแต่งหรือส่งเสริมการขายแต่ไม่ใช่ตัวสินค้า ได้แก่ กล่องใส่สินค้าหลอดไฟ เสื่อ ป้ายราคา ตะแกรงวางของ เชือกมัดของ เป็นต้น
- รายจ่ายหมุนเวียน คือเงินที่เอามาใช้ซื้อสินค้า เมื่อขายได้ก็จะได้ทุนกลับมาพร้อมกำไรนั่นเอง
สำหรับรายจ่ายวํฏจักรนั้นเริ่มตั้งแต่ค่าเช่าแผงที่มีราคาแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 20-60 บาทต่อหนึ่งล๊อค แล้วแต่สิ่งอำนวยความสะดวกที่เจ้าของตลาดจะอำนวยไว้ให้เราได้ สำหรับตลาดนัดที่ราคาค่าที่นั้นถูกหน่อยก็จะเป็นของเทศบาลนี่แหละครับ บรรดาพ่อค้าแม่ขายก็จะมาจับจองกันเยอะ จริงต้องมีการจับฉลากกันว่าใครจะได้ที่ตรงไหน โดยการให้บรรดาพ่อค้าแม่ขายหย่อนบัตรประชาชนลงไปในกล่องแล้วหยิบขึ้นมา วัดดวงกันไปเลยครับ เหมือนอารมณ์ตอนที่จับใบดำใบแดงตอนที่เขาคัดทหารกัน
พ่อค้าแม่ค้าหลาย ๆ คนรวมถึงตัวผมเองด้วยนั้น หากว่าเราไม่สามารถที่จะเข้าคิวรอจับฉลากแบ่งล๊อคหรือเข้าไปซื้อล๊อคได้ทันเวลา ก็ต้องมาลุ้นกันต่อว่าเราจะได้ที่ขายของเมื่อไหร่ ก็ตอนช่วงที่เขาตั้งแผงขายของกัน จะมีพ่อค้าแม่ค้าบางคนที่จับฉลากได้ล๊อคไปแล้ว แต่อาจจะมีเหตุผลที่เขาไม่มาขาย เช่น ได้ที่ที่ไม่ถูกใจก็เลยไม่มาขายซะงั้น หรือฝนฟ้าอากาศไม่เป็นใจก็ไม่มาอีกเช่นกัน เป็นต้น ทีนี้ก็จะเป็นโอกาสของผมที่จะได้เข้าไปแทรกแซงจับจองล๊อคประเภทนี้เพื่อที่จะขายแทนซะเลย เรียกว่าชุบมือเปิบ
ส่วนใหญ่นั้นที่ที่เราจะใช้ตั้งของขาย เจ้าของตลาดเขาจะแบ่งล๊อคไว้ โดยแต่ละล๊อคจะมีขนาด กว้างยาวประมาณ 1.5 X 1.5 เมตร เพียงแค่นั้นครับ หากใครขายของเยอะหรือขายหลายอย่างก็จองไว้เลยครับ สองล๊อคสามล๊อคแล้วแต่ความเหมาะสม และสำหรับตลาดนัดเอกชนนั้น ล๊อคพิเศษอย่างล๊อคที่อยู่ตรงหัวมุมนั้นจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าล๊อคที่ไม่ได้อยู่หัวมุม เพราะโอกาสที่มากกว่าทำให้สามารถที่จะขายได้เยอะ โอกาสก็มากกว่านั่นเองครับ
ต่อมาก็จะเป็นระบบอำนวยความสะดวกให้กับบรรดาพ่อค้าแม่ขายนั่นก็คือ ระบบไฟฟ้า จัดว่าเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ ครับ เพราะต้องเริ่มขายของกันตั้งแต่เวลา 16.00 น. ไปจนกระทั่ง สามสี่ทุ่มโน่นแสงสว่างจึงสำคัญมาก ๆ ครับ ตามตลาดนัดที่ต่าง ๆ จึงมีหลอดไฟแสงจันทร์กำลังขับสูงที่ติดตั้งอยู่บนยอดเสาขนาดใหญ่ไว้คอยให้บริการสาดส่องอยู่แล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่พอครับ บรรดาพ่อค้าแม่ขายจึงต้องเตรียมหลอดไฟเพื่อให้แสงสว่างแก่ล๊อคของตัวเองอีกทีหนึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการขาย สำหรับล๊อคของผมนั้นด้วยความที่เป็นล๊อคเล็ก ๆ ผมจึงต้องลงทุนกับแสงสว่างให้มาก ๆ ครับ ส่งเสริมเพื่อให้ล๊อคของผมนั้นสว่างไสวและยังทำให้สินค้าของผมมีความโดดเด่นและสะดุดตาของลูกค้าให้มากที่สุด
อีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องคำนึงเสมอก็คือเรื่องของฟ้าฝน สภาพอากาศ สำหรับพ่อค้าแม่ค้าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ครับ ของบางอย่าง เช่น เครื่องดนตรีทั้งหลายของผมเองนั้น ต้องหลีกหนีให้ไกลจากความชื้นและน้ำให้มากที่สุดครับ มันหมายถึงความเสียหายหรือหายนะเลยทีเดียว หากวันไหนที่ฟ้าอึมครึม ต้องคำนวณให้ดีว่าฝนจะตกหรือไม่ หากคำนวนพลาดจะทำให้เราได้ไม่คุ้มกับที่เสียครับ
สิ่งที่ต้องระวังสำหรับการขายของ ก็คือ เรื่องของลิขสิทธิ์ หากเราขายของที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ต้องระวังเจ้าหน้าที่ที่มาตรวจสอบตามตลาดนัดไว้ให้ดี ค่าปรับไม่ใช่น้อย ๆ ครับ หลักหมื่นเป็นต้นไป หรือ จำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ ฉะนั้น ระวังให้ดีครับ
......................................................................................
แนะนำหนังสือเคยอ่าน
คุยเฟื่องเรื่องสามก๊ก
ความรักการอ่านในวรรณกรรมจีนของตัวผมเอง
เกิดขึ้นมาเพราะว่าผมจีบผู้หญิงคนหนึ่งที่มีนามสมมุติว่า “น้องลูกหมี”
ด้วยความที่เธอเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยและสอนประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การที่ผมจะจีบน้องลูกหมีผมก็ต้องมีความรู้ในเรื่องประวัติศาสตร์ในสมองบ้างไม่มากก็น้อย
นี่คือจุดเริ่มต้นของการที่ผมตัดสินใจศึกษาวรรณกรรมจีน สามก๊กครับ (
ท่านสามารถที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับน้องลูกหมี ได้ในหัวข้อบล็อกที่ชื่อว่า “3NIS
AAN” และ “37ISSIW AVW” )
หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือสามก๊กเล่มแรกที่ผมเริ่มอ่านเพราะผมอ่านหนังสือสามก๊กมาก่อนหน้านี้หลายสำนักมาก อ่านไม่เคยจบครับ แต่อยากจะบอกว่า ”คุยเฟื่องเรื่องสามก๊ก” เป็นหนังสือสามก๊กเล่มแรกที่ผมอ่านจบ เพราะแค่ชื่อหนังสือก็สะท้อนเนื้อหาภายในและการใช้ภาษาที่สอดแทรกความเป็นตัวตนของโกวิท ตั้งตรงจิตร
นักเขียนสารคดีดีเด่นแห่งชาติได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายประวัติของตัวละคร รวมไปถึงการแซวชื่อของตัวละครหรือชื่อเมืองต่าง
ๆ ภายในเรื่องที่ใส่แนวความคิดที่มีอารมณ์ขันของผู้เขียนลงไป ผมอ่านแล้วผมยังอดหัวเราะไม่ได้กับไอเดียที่ชวนให้อารมณ์ดีของคุณโกวิท
ใครที่อ่านสามก๊กมาแล้ว อ่านยังไงไม่เคยจบ คุยเฟื่องเรื่องสามก๊ก น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีอีกเล่มหนึ่งครับ
...................................................................................................
Saturday, April 21, 2012
37ISSIW VAW (-19-)
“พี่วิช ตักไอติมให้เค้าหน่อยดิ” น้องลูกหมีพูดออกมาในขณะน้องลูกหมีเองก็วุ่นอยู่กับเครื่องปิ้งขนมปัง และคุ้กกี้
“กินเยอะขนาดนี้ แม่บ้านจะว่าพวกเราไหมเนี่ย”ผมพึมพำออกมาด้วยความกังวลนิด ๆ แต่มือก็จ้วงตักไอติมในตู้อย่างไม่บันยะบันยัง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ณ ห้องรับรองลูกค้าของศูนย์บริการ เชฟโรเลต สุราษฎร์ธานีนี่เองแหละครับ ต้องยอมรับว่าการบริการของพนักงานที่มีต่อลูกค้าอย่างเราสองคนนั้นดีมาก ๆ ครับ วันนั้นเป็นวันที่น้องลูกหมีเอารถแคปติว่าคู่ใจมาถ่ายน้ำมันเครื่อง ผมก็เลยถือโอกาสนั่งรอเป็นเพื่อนน้องลูกหมีกันสองคน ก็เลยเข้าไปในห้องรับรองลูกค้า ไม่คิดเลยว่าพนักงานบริการดียังไม่พอครับ ยังมีของว่างของกิน ไอติมเต็มตู้ มีคุ้กกี้ ขนมปัง น้ำชา กาแฟ โอวัลติน น้ำอัดลมเต็มตู้เย็น เยอะแยะมากมาย สะใจไปเลยครับกับการกิน ยิ่งน้องลูกหมีกับผมรวมกันสองคนด้วยแล้ว กินระเบิดเถิดเทิงไปกันใหญ่ ล้างสต๊อกกันไปเลยเป็นการปิดท้ายรายการยามอาทิตย์ตกดินพอดี
“ลูกหมี รอบหน้าถ้าจะถ่ายน้ำมันเครื่องเราน่าจะเกณฑ์เพื่อน ๆ ญาติ ๆ มาถล่มห้องรับรองลูกค้าที่ศูนย์บริการนี้สักหกเจ็ดคนดีกว่านะ เอาให้ชื่อลูกหมีกับป้ายทะเบียนรถลูกหมีติด Black List ของศูนย์บริการ ไปเลย 5555”ผมพูดติดตลก
จนกระทั่งรถยนต์เสร็จจากการถ่ายน้ำมันเครื่อง เราจึงเดินทางกลับบ้าน ผมกับน้องลูกหมีมีบางสิ่งบางอย่างอยากจะบอกแก่ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์มาก ๆ ครับว่า รอบหน้าขอกระทะ แก๊ส และของสดพวกหมู ผัก ไว้ในตู้เย็นให้ด้วยน่ะหุหุ
Subscribe to:
Posts (Atom)