"................."
"สอบถามได้น่ะครับ ราคาคุยกันได้ ไม่แพงอย่างที่คิดครับ ลองดูลายนี้ไหมครับ ตัวนี้จะเป็นลายไม้ยิ้มน่ารักน่าชัง ลองดีดลองเล่นได้เต็มที่เลยน่ะน้อง เสียงดีไม่แพ้ชาติใดในโลก" พลางผมก็ยื่นมือหยิบอูคูเลเล่ตัวดังกล่าวขึ้นมาจากแผงก่อนที่จะส่งไปที่มือของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
"แล้วตัวนี้ ชื่อของมันเรียกว่า size อะไรหรอครับเนี่ย" ลูกค้าถามผมกลับมา มือก็ดีดอูคูเลเล่ลายไม้ยิ้มที่ผมส่งให้ไปพลาง พร้อมทั้งยืนมองหน้าผมเพื่อรอคำตอบดังกล่าว
"น้องครับเดี๋ยวพี่ตั้งสายอูคูเลเล่ให้ใหม่น่ะ สายที่หนึ่งมันเพี้ยนอยู่นิดนึง" ผมรีบเบี่ยงเบนประเด็นด้วยคำถามพร้อมทั้งยื่นมือขออูคูเลเล่จากลูกค้า
"เขาเรียกว่าไซส์อะไรพี่" ลูกค้าย้ำถึงคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างจริงจัง
"อืม..... อ่อม .... มันเป็น size ที่เล็กที่สุดอะครับ คือมันชื่อว่า ....." ผมหยุดชะงักเพราะจำชื่อเรียกไม่ได้
.
.
.
.
นี่คือบทสนทนาของการขายอูคูเลเล่วันแรกครับ มันคือวันแรกในชีวิตที่ผมได้มาตั้งแผงขาย เป็นวันแรกของการขายของในตลาดนัดที่วุ่นวายมากที่สุดวันหนึ่งเลยก็ว่าได้เพราะผมไม่มีทั้งประสบการณ์ ความรู้และความคุ้นเคย
วันแรกนี้จำได้เลยว่าขับรถมอเตอร์ไซค์ที่บรรทุกอูคูเลเล่เต็มหลังรถมาถึงตลาดนัดตั้งแต่เวลายังไม่สี่โมงเย็นครับ ท่ามกลางบรรยากาศตลาดนัดที่พ่อค้าแม่ค้าจ้าวอื่น ๆต่างวุ่นวายในการตั้งแผงขายของของตัวเองยามบ่ายแก่ ๆ อากาศค่อนข้างร้อนและมีบรรดาผู้คนเริ่มที่จะเข้ามาเดินจับจ่ายใช้สอยกันบ้างแล้ว ทำให้มีเสียงลูกค้า ผู้คน และพ่อค้าแม่ขายคุยต่อรองราคากันจ้าละหวั่น จึงวุ่นวายมาก ๆ แต่กว่าที่ผมสามารถที่จะเริ่มตั้งแผงเสร็จพร้อมที่จะขายของตอนนั้นก็ปาเข้าไปเกือบหกโมงเย็นแล้ว เพราะผมไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ว่าหากต้องการที่จะลงขายของล๊อคตรงนี้ต้องไปติดต่อใคร ด้วยความที่มั่วซั่วตามภาษาพ่อค้าหน้าใหม่ก็เลยดันไปตั้งแผงที่มีเจ้าของอยู่แล้ว เมื่อเจ้าของที่เขามาก็เลยถูกไล่ให้ไปล๊อคอื่น พอไปล๊อคอื่นที่คิดว่าว่าง ก็ดันมีเจ้าของซะอีกก็เลยถูกเนรเทศซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง
ทีนี้ผมก็เลยไปถาม เจ้าหน้าที่จัดล๊อคประจำตลาดนัด ซะเลยว่าตรงไหนที่ยังเป็นล๊อคว่าง ๆ อยู่ ผมยังจำคำพูดที่ว่า
"น้องเอ้ยยยย ล๊อคไหนว่างน้องก็ลงของแล้วก็ขายไปได้เลย" นี่คือคำพูดของเจ้าหน้าที่จัดล๊อคประจำตลาดนัดครับที่พูดจาเสียงค่อนข้างฉะฉานมาที่ผม
"แล้วล๊อคตรงนี้ว่างอยู่ งั้นผมเอาของมาขายตรงนี้เลยละกันน่ะ" เป็นคำพูดยืนยันของผมท่ามกลางบรรยากาศที่แสนวุ่นวายกลางตลาดนัด พร้อมทั้งผมก็ชี้นิ้วไปยังล๊อคว่างดังกล่าว พี่เจ้าหน้าที่จัดล๊อคก็พยักหน้าเป็นการรับทราบเรียบร้อย เพื่อไม่ให้เสียเวลาผมจึงรีบยกอูคูเลเล่ไปที่ล๊อคด้วยความรวดเร็วและรีบจัดของทันที
จัดของไม่ทันเสร็จครับ ผมก็สังเกตเห็นผู้หญิงสองคนยืนจังก้าอยุ่ตรงหน้าผม พร้อมทั้งวางลังผ้าและราวผ้า และคำถามที่ว่า
"น้องค่ะ ล๊อคนี้น้องจ่ายเงินค่าล๊อคหรือยังค่ะ " สิ้นคำถามดังกล่าวผมรู้ได้ทันทีว่า ล๊อคที่ผมกำลังนั่งจัดของอยู่ตอนนี้คงมีเจ้าของอยู่ตามเคย และเจ้าของล๊อคนี้เธอก็ยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้วด้วย
"ยังไม่จ่ายเลยครับ "
"ล๊อคโซนฝั่งซ้ายที่น้องนั่งอยู่เนี่ยจริง ๆ แล้วจะเป็นล๊อคที่เขาต้องจ่ายค่าเช่าเป็นรายเดือนกัน ถ้าน้องพึ่งมาขายแล้วยังไม่มีล๊อครายเดือนประจำ น้องต้องไปขายโซนฝั่งขวาน่ะ เพราะโซนนั้นเป็นโซนรายวันค่ะ " ประโยคของแม่ค้าขายผ้าที่เป็นเจ้าของล๊อคทำเอาผมตาสว่างเลยครับ คิดในใจว่า ถ้ามีคนมาบอกกับผมแบบนี้แต่แรกผมจะได้รู้ว่าควรจะทำยังไง ตั้งแผงตรงไหนซะตั้งนานแล้ว
นึกไปนึกมาก็ดันเจ็บใจเจ้าหน้าที่จัดล๊อคประจำตลาดนัดอยู่นิดนึง มันจัดล๊อคให้ผมภาษาอะไรของมันว่ะเนี่ย ที่ตรงไหนที่มีเจ้าของไม่ยอมบอก แต่ดันพูดประมาณว่า 'ตรงไหนว่าง ลงได้เลยไอน้อง' แม่ง แล้วเขาจะจ้างมันมาจัดระเบียบทำ บักกร๊วก อะไรว่ะเนี่ย งง
สุดท้ายก็ได้ล๊อคขายของครับ เป็นล๊อคเยื้อง ๆ กับล๊อคของสองแม่ค้าขายผ้านี่เอง พอแดดร่มลมตก ตะวันเริ่มโพล้เพล้ ทีนี้เกิดปัญหาแล้วครับเมื่อเริ่มมืดก็ต้องใช้แสงสว่างจากหลอดไฟ บรรดาพ่อค้าแม่ค้ามืออาชีพจ้าวอื่น ๆ เขามีหลอดไฟกันหมด ส่วนมือสมัครเล่นอย่างผมนั่นหรือเตรียมมาแน่นอนครับเป็นหลอดประหยัดไฟเบอร์ห้าด้วย แต่สายไฟมันสั้นนิดเดียว ไม่สามารถที่จะไปเสียบกับเต้ารับที่ใกล้ที่สุดได้ครับ สุดท้ายก็ต้องนั่งขายมืด ๆ กันไป เป็นความสับเพร่าและพลาดในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งผมคิดว่าความผิดพลาดในวันนี้ทั้งหมดพรุ่งนี้มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นซ้ำสองแน่นอน ยังไงซะวันนี้แม้ว่าจะขายอะไรไม่ได้แต่ได้ประสบการณ์มาแล้วครับ ผมก็นั่งเขียนรายการสิ่งที่ต้องแก้ไขในวันพรุ่งนี้ลงในสมุดประจำตัว นั่งเขียนไม่ทันเสร็จ ลูกค้ารายแรกในชีวิตของผมก็เดินตรงเข้ามายืนด้อม ๆ มอง ๆ อูคูเลเล่อย่างเงียบ ๆ
"........................................." ลูกค้ายืนมองสินค้าอย่างเงียบๆ
" ดูก่อนได้นะครับ " ผมพูดเชิญชวน
"................." ก็ยังยืนมองสินค้าอย่างเงียบ ๆ ผมคิดในใจว่าทำไงดีว่ะเนี่ย นึกขึ้นมาได้ว่าการขายของต้องมีการโปรโมทให้สินค้านั้นเป็นที่น่าสนใจเสียก่อนเป็นขั้นตอนแรก จึงไม่รอช้าครับ
"สอบถามได้น่ะครับ ราคาคุยกันได้ ไม่แพงอย่างที่คิดครับ ลองดูลายนี้ไหมครับ ตัวนี้จะเป็นลายไม้ยิ้มน่ารักน่าชัง สามารถที่จะลองดีด ลองเล่นได้เต็มที่เลยนะครับ เสียงดีไม่แพ้ชาติใดในโลก"
พลางผมก็ยื่นมือหยิบอูคูเลเล่ตัวดังกล่าวขึ้นมาจากแผงก่อนที่จะส่งไปที่มือของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
"แล้วอูคูเลเล่ size เล็กสุดนี้ ชื่อของมันเรียกว่า size อะไรหรอครับเนี่ย" ถามเสร็จมือก็ดีดอูคูเลเล่ลายไม้ยิ้ม ไปพลาง พร้อมทั้งยืนมองหน้าผมเพื่อรอคำตอบดังกล่าว ผมสะดุ้งเฮือกกับคำถาม .....
"น้องครับเดี๋ยวพี่ตั้งสายอูคูเลเล่ให้ใหม่น่ะ สายที่หนึ่งมันเพี้ยนอยู่นิดนึง" ผมรีบเบี่ยงเบนประเด็นด้วยคำถามพร้อมทั้งยื่นมือขออูคูเลเล่จากลูกค้า
"เขาเรียกว่า size อะไรพี่" ลูกค้าย้ำถึงคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างจริงจัง
"อืม..... อ่อม .... มันเป็น sizeที่เล็กที่สุดอะครับ คือมันชื่อว่า ....." ผมหยุดชะงักเพราะจำชื่อเรียกไม่ได้จริง ๆ ชื่อของมันนั้นเป็นศัพท์เฉพาะทางดนตรีเลยครับ ผมรู้แค่ว่าอูคูเลเล่มีทั้งหมดสามขนาด คือเล็ก กลาง และก็ใหญ่ครับ
ขนาดใหญ่มีชื่อเรียกว่า "เทรนเนอร์"
ส่วนขนาดกลางเรียกว่า"คอนเสิร์ต"
แต่ไม่รู้ว่าขนาดเล็กสุดของอูคูเลเล่นั้นมันชื่ออะไร ซึ่งมันน่าเจ็บใจตรงที่มันเป็นขนาดที่ผมขายอยู่แต่ดันไม่รู้ชื่อนี่แหละครับ บักกร๊วก จริงๆ
แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าถ้าเราไม่สามารถที่จะตอบคำถามลูกค้าได้เราก็จะขาดความน่าเชื่อถือในการขายครับ คิดว่าถ้าโทรถามบรรดาพี่ ๆ นักดนตรีรุ่นพี่ก็คงจะไม่ทันการแล้ว ด้วยความที่กลัวเสียฟอร์มนักดนตรีเก่าครับ ก็เลยย้อนถามกลับไปเพื่อลองเชิงลูกค้าดู
"อูคูเลเล่จะมีด้วยกันสามขนาดครับ แตกต่างจากกีตาร์นะครับ" ผมเฉไฉไปเรื่องกีตาร์ทันที "ปกติเนี่ย น้องเล่นกีตาร์เป็นหรือป่าวครับ" เป็นการถามเพื่อลองเชิงและวัดภูมิความรู้เรื่องดนตรี
"กีตาร์เล่นไม่เป็นครับ เล่นเป็นแต่อูคูเลเล่ " อ้าวละมึง ผมรู้สึกตัวลีบเล็กไปในทันที ดันมาเจอคนที่มีความรู้เรื่องอูคูเลเล่มากกว่าซะงั้น เกิดผมให้ขอ้มูลเกี่ยวกับอูคูเลเล่มั่วซั่วไปละก็หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลยน่ะเนี่ย
"ลงเรียนกี่คอร์ดกี่ชั่วโมงแล้วหรอครับ คุณน้อง" ผมถาม
"ไปเรียนได้ชั่วโมงเดียวแล้วก็ไม่ไปอีกเลยอ่ะ เพราะว่าขี้เกียจอะพี่" คำตอบของน้องเขาทำให้ผมรู้สึกว่า ตัวผมเองคือผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่ออูคูเลเล่ที่สุดในตลาดนัดแห่งนี้อีกครั้ง "ตกลงมันชื่อว่าอะไรหรอครับ ไอเจ้าอูคูเลเล่ size เล็กสุดเนี่ย" น้องลูกค้าสุดหล่อกลับมาสู่คำถามมรณะอีกครั้ง
ผมนิ่งไปประมาณสามวินาที ประมวณผลในสมองแล้วว่า นี่คือคำตอบที่ผมคิดว่ามันใช่ที่สุดแล้วที่ผมพอจะนึกขึ้นมาได้ และน้องลุกค้าคนนี้คงจะไม่รู้ชื่อจริง ๆ จึงบอกน้องเขาไปแบบเต็มเสียง ชัดถ้อย ชัดคำว่า
"ฟีฟาราโน่ !"
"หา ! อะไรน่ะพี่ ???"
คิดในใจ ชิปหายแล้วกูพูดชื่อผิดแน่เลย สาดเอ้ยยยยย
"อีกทีได้ไหมพี่ พี่พูดอะไรผมฟังไม่รู้เรื่อง" ลูกค้าแสดงเจตจำนงค์ว่า Again Please . ตอนนั้นรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงครับ
"ซูซีราโน่ ! " - - "
"หา ! อีกทีพี่"
เอาละเว้ยบอกไปสองชื่อ แม่งไม่ซ้ำกันซักชื่อ อย่าว่าแต่คนฟังเลยครับที่มึน คนพูดมึนกว่าอีกครับ
ทันใดนั้นมีเสียงสวรรค์ดังขึ้นมาจาก Nokia คู่ใจ ดูรายชื่อบุคคลที่โทรเข้ามาแล้วเป็นบุคคลที่สวรรค์ส่งมาเพื่อผมครับ เขาคนนั้นคือ อาจารย์แซมครับ เป็นหุ้นส่วนและเป็นมือกีตาร์วงเดียวกับผมรวมทั้งเป็นอาจารย์สอนดนตรีด้วยครับ โทรมาได้จังหวะมาก ๆ ผมไม่รอช้าครับ รีบบอกลูกค้าว่า ขอสองนาที เดี๋ยวผมขอตัวรับโทรศัพท์ด่วนก่อน พลางเดินออกมาจากล๊อคที่ขายของให้ไกลพอที่จะให้ลูกค้าไม่ได้ยินเสียงการคุยโทรศัพท์ของผม
"โหลขราบ พี่แซม"
"อ้าววิช เป็นไงบ้างขายของที่ตลาดนัดวันแรก ขายดีป่ะ " พี่แซมถาม
"มั่วซั่วดีพี่ แล้วตอนนี้ก็กำลังมั่วได้จังหวะพอดีเลยพี่ พี่ช่วยผมหน่อยดิ "
"มีไรก็รีบว่ามา"
"อูคูเลเล่ ขนาดเล็กสุดมันชื่อว่าอะไรแล้วน่ะ" ผมถาม
" โซปราโน่ ไงไอวิชพี่เคยบอกไปจำไม่ได้หรือไงว่ะ" พี่แซม จวก ผมไปหนึ่งดอก
"โอเคพี่ ขอบใจมากครับ เดี๋ยวอีกสองนาทีผมโทรกลับน่ะ ติดลูกค้าอยู่ แค่นี้นะขราบบบ แคร๊ก ตู้ด ๆ ๆ ๆ ๆ " เสร็จจากการคุยโทรศัพท์ก็รีบเดินไปที่แผงอีกครั้ง
และครั้งที่สามผมก็สามารถบอกชื่อได้ถูกต้องสักที ซึ่งแม้ว่าลูกค้าจะไม่ได้ซื้ออูคูเลเล่จากผมไป แต่ผมก็ได้บทเรียนครับ ว่าเราต้องรู้ในสิ่งที่เราขายให้มากที่สุด จำได้ควรจะจำให้หมด แต่ถ้าจำไม่หมด จดดีกว่าจำครับ
แค่หวนรำลึกวันแรกของการขายเท่านั้นและก็อยากรู้ว่าหลาย ๆ คนนั้นเคยเป็นเหมือนที่ผมเป็นด้วยหรือป่าว
อย่างน้อยสำหรับวันแรกแม้จะผิดพลาดอะไรไปบ้างก็ถือซะว่า แม้เราจะเดินก้าวล้มไปข้างหน้า ก็ยังดีกว่ายืนตั้งท่าสวยอยู่กับที่ จริงไหมครับ
..........................................................
แนะนำหนังสือเคยอ่าน
ตำราพิชัยสงครามซุนหวู่กับ 36 กลยุทธ์จีนโบราณ
เคยประหลาดใจไหมครับว่าทำอย่างไรให้คนนับแสนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเราสามารถที่จะเดินทางตบเท้ากันอย่างพร้อมเพรียงพร้อมใจกันหมด หรือว่าทำไมกองทัพที่มีขนาดใหญ่กว่ากลับต้องพ่ายแพ้แก่ปัญญาชนเพียงหยิบมือเดียว ความลับทั้งหมดอยู่ในหนังสือเล่มนี้แทบทั้งสิ้น พิชัยสงครามซุนหวู่จัดได้ว่าเป็นต้นตำหรับการสงครามโดยแท้ ที่หน่วยงานแทบจะทั่วทั้งโลกยังต้องบรรจุไว้ในแผนการศึกษาของโรงเรียนสอนทหาร
แม้ว่าจะเป็นตำราที่ใช้ในการสงคราม แต่ด้วยแก่นของเนื้อหานั้นสามารถที่จะเอามาใช้ในการดำเนินธุรกิจได้ลงตัวอย่างน่าประหลาด ผมอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วรู้สึกทึ่งในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษจีนเป็นอย่างมาก ขอขอบคุณคุณดาณุภา ไชยพรธรรมที่เรียบเรียงเนื้อหามาให้พวกเราได้อ่านกันครับ
....................................................................
2 comments:
ขอบคุณค่ะ เขียนซะสนุกเชียว
ขอบคุณค่ะ เขียนซะสนุกเชียว
Post a Comment