Friday, May 11, 2012

เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน (-4-) ประสบการณ์ขายของในตลาดวันแรก

" ดูก่อนได้นะครับ  "


"................."


"สอบถามได้น่ะครับ   ราคาคุยกันได้   ไม่แพงอย่างที่คิดครับ    ลองดูลายนี้ไหมครับ   ตัวนี้จะเป็นลายไม้ยิ้มน่ารักน่าชัง    ลองดีดลองเล่นได้เต็มที่เลยน่ะน้อง เสียงดีไม่แพ้ชาติใดในโลก"   พลางผมก็ยื่นมือหยิบอูคูเลเล่ตัวดังกล่าวขึ้นมาจากแผงก่อนที่จะส่งไปที่มือของลูกค้าอย่างรวดเร็ว

"แล้วตัวนี้ ชื่อของมันเรียกว่า size อะไรหรอครับเนี่ย" ลูกค้าถามผมกลับมา    มือก็ดีดอูคูเลเล่ลายไม้ยิ้มที่ผมส่งให้ไปพลาง พร้อมทั้งยืนมองหน้าผมเพื่อรอคำตอบดังกล่าว

"น้องครับเดี๋ยวพี่ตั้งสายอูคูเลเล่ให้ใหม่น่ะ สายที่หนึ่งมันเพี้ยนอยู่นิดนึง" ผมรีบเบี่ยงเบนประเด็นด้วยคำถามพร้อมทั้งยื่นมือขออูคูเลเล่จากลูกค้า

"เขาเรียกว่าไซส์อะไรพี่" ลูกค้าย้ำถึงคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างจริงจัง

"อืม..... อ่อม .... มันเป็น size ที่เล็กที่สุดอะครับ คือมันชื่อว่า ....." ผมหยุดชะงักเพราะจำชื่อเรียกไม่ได้



.
.
.
.



นี่คือบทสนทนาของการขายอูคูเลเล่วันแรกครับ      มันคือวันแรกในชีวิตที่ผมได้มาตั้งแผงขาย   เป็นวันแรกของการขายของในตลาดนัดที่วุ่นวายมากที่สุดวันหนึ่งเลยก็ว่าได้เพราะผมไม่มีทั้งประสบการณ์   ความรู้และความคุ้นเคย   



วันแรกนี้จำได้เลยว่าขับรถมอเตอร์ไซค์ที่บรรทุกอูคูเลเล่เต็มหลังรถมาถึงตลาดนัดตั้งแต่เวลายังไม่สี่โมงเย็นครับ ท่ามกลางบรรยากาศตลาดนัดที่พ่อค้าแม่ค้าจ้าวอื่น ๆต่างวุ่นวายในการตั้งแผงขายของของตัวเองยามบ่ายแก่ ๆ   อากาศค่อนข้างร้อนและมีบรรดาผู้คนเริ่มที่จะเข้ามาเดินจับจ่ายใช้สอยกันบ้างแล้ว ทำให้มีเสียงลูกค้า   ผู้คน  และพ่อค้าแม่ขายคุยต่อรองราคากันจ้าละหวั่น จึงวุ่นวายมาก ๆ     แต่กว่าที่ผมสามารถที่จะเริ่มตั้งแผงเสร็จพร้อมที่จะขายของตอนนั้นก็ปาเข้าไปเกือบหกโมงเย็นแล้ว   เพราะผมไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ว่าหากต้องการที่จะลงขายของล๊อคตรงนี้ต้องไปติดต่อใคร   ด้วยความที่มั่วซั่วตามภาษาพ่อค้าหน้าใหม่ก็เลยดันไปตั้งแผงที่มีเจ้าของอยู่แล้ว   เมื่อเจ้าของที่เขามาก็เลยถูกไล่ให้ไปล๊อคอื่น    พอไปล๊อคอื่นที่คิดว่าว่าง  ก็ดันมีเจ้าของซะอีกก็เลยถูกเนรเทศซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง





ทีนี้ผมก็เลยไปถาม   เจ้าหน้าที่จัดล๊อคประจำตลาดนัด   ซะเลยว่าตรงไหนที่ยังเป็นล๊อคว่าง ๆ  อยู่  ผมยังจำคำพูดที่ว่า


"น้องเอ้ยยยย    ล๊อคไหนว่างน้องก็ลงของแล้วก็ขายไปได้เลย"   นี่คือคำพูดของเจ้าหน้าที่จัดล๊อคประจำตลาดนัดครับที่พูดจาเสียงค่อนข้างฉะฉานมาที่ผม



"แล้วล๊อคตรงนี้ว่างอยู่    งั้นผมเอาของมาขายตรงนี้เลยละกันน่ะ"   เป็นคำพูดยืนยันของผมท่ามกลางบรรยากาศที่แสนวุ่นวายกลางตลาดนัด  พร้อมทั้งผมก็ชี้นิ้วไปยังล๊อคว่างดังกล่าว    พี่เจ้าหน้าที่จัดล๊อคก็พยักหน้าเป็นการรับทราบเรียบร้อย       เพื่อไม่ให้เสียเวลาผมจึงรีบยกอูคูเลเล่ไปที่ล๊อคด้วยความรวดเร็วและรีบจัดของทันที


จัดของไม่ทันเสร็จครับ  ผมก็สังเกตเห็นผู้หญิงสองคนยืนจังก้าอยุ่ตรงหน้าผม   พร้อมทั้งวางลังผ้าและราวผ้า   และคำถามที่ว่า

"น้องค่ะ  ล๊อคนี้น้องจ่ายเงินค่าล๊อคหรือยังค่ะ "   สิ้นคำถามดังกล่าวผมรู้ได้ทันทีว่า   ล๊อคที่ผมกำลังนั่งจัดของอยู่ตอนนี้คงมีเจ้าของอยู่ตามเคย   และเจ้าของล๊อคนี้เธอก็ยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้วด้วย  

"ยังไม่จ่ายเลยครับ   "  

"ล๊อคโซนฝั่งซ้ายที่น้องนั่งอยู่เนี่ยจริง ๆ  แล้วจะเป็นล๊อคที่เขาต้องจ่ายค่าเช่าเป็นรายเดือนกัน    ถ้าน้องพึ่งมาขายแล้วยังไม่มีล๊อครายเดือนประจำ  น้องต้องไปขายโซนฝั่งขวาน่ะ   เพราะโซนนั้นเป็นโซนรายวันค่ะ  "   ประโยคของแม่ค้าขายผ้าที่เป็นเจ้าของล๊อคทำเอาผมตาสว่างเลยครับ   คิดในใจว่า   ถ้ามีคนมาบอกกับผมแบบนี้แต่แรกผมจะได้รู้ว่าควรจะทำยังไง  ตั้งแผงตรงไหนซะตั้งนานแล้ว

นึกไปนึกมาก็ดันเจ็บใจเจ้าหน้าที่จัดล๊อคประจำตลาดนัดอยู่นิดนึง   มันจัดล๊อคให้ผมภาษาอะไรของมันว่ะเนี่ย ที่ตรงไหนที่มีเจ้าของไม่ยอมบอก   แต่ดันพูดประมาณว่า   'ตรงไหนว่าง  ลงได้เลยไอน้อง'    แม่ง    แล้วเขาจะจ้างมันมาจัดระเบียบทำ  บักกร๊วก   อะไรว่ะเนี่ย   งง   



สุดท้ายก็ได้ล๊อคขายของครับ เป็นล๊อคเยื้อง ๆ  กับล๊อคของสองแม่ค้าขายผ้านี่เอง   พอแดดร่มลมตก  ตะวันเริ่มโพล้เพล้   ทีนี้เกิดปัญหาแล้วครับเมื่อเริ่มมืดก็ต้องใช้แสงสว่างจากหลอดไฟ    บรรดาพ่อค้าแม่ค้ามืออาชีพจ้าวอื่น ๆ  เขามีหลอดไฟกันหมด    ส่วนมือสมัครเล่นอย่างผมนั่นหรือเตรียมมาแน่นอนครับเป็นหลอดประหยัดไฟเบอร์ห้าด้วย   แต่สายไฟมันสั้นนิดเดียว   ไม่สามารถที่จะไปเสียบกับเต้ารับที่ใกล้ที่สุดได้ครับ    สุดท้ายก็ต้องนั่งขายมืด ๆ กันไป   เป็นความสับเพร่าและพลาดในหลาย ๆ เรื่อง   ซึ่งผมคิดว่าความผิดพลาดในวันนี้ทั้งหมดพรุ่งนี้มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นซ้ำสองแน่นอน   ยังไงซะวันนี้แม้ว่าจะขายอะไรไม่ได้แต่ได้ประสบการณ์มาแล้วครับ   ผมก็นั่งเขียนรายการสิ่งที่ต้องแก้ไขในวันพรุ่งนี้ลงในสมุดประจำตัว   นั่งเขียนไม่ทันเสร็จ   ลูกค้ารายแรกในชีวิตของผมก็เดินตรงเข้ามายืนด้อม ๆ  มอง ๆ อูคูเลเล่อย่างเงียบ ๆ



"........................................."   ลูกค้ายืนมองสินค้าอย่างเงียบๆ




" ดูก่อนได้นะครับ "   ผมพูดเชิญชวน





"................."    ก็ยังยืนมองสินค้าอย่างเงียบ ๆ ผมคิดในใจว่าทำไงดีว่ะเนี่ย   นึกขึ้นมาได้ว่าการขายของต้องมีการโปรโมทให้สินค้านั้นเป็นที่น่าสนใจเสียก่อนเป็นขั้นตอนแรก   จึงไม่รอช้าครับ


"สอบถามได้น่ะครับ ราคาคุยกันได้ ไม่แพงอย่างที่คิดครับ ลองดูลายนี้ไหมครับ ตัวนี้จะเป็นลายไม้ยิ้มน่ารักน่าชัง สามารถที่จะลองดีด  ลองเล่นได้เต็มที่เลยนะครับ เสียงดีไม่แพ้ชาติใดในโลก"


พลางผมก็ยื่นมือหยิบอูคูเลเล่ตัวดังกล่าวขึ้นมาจากแผงก่อนที่จะส่งไปที่มือของลูกค้าอย่างรวดเร็ว



"แล้วอูคูเลเล่ size    เล็กสุดนี้ ชื่อของมันเรียกว่า   size   อะไรหรอครับเนี่ย" ถามเสร็จมือก็ดีดอูคูเลเล่ลายไม้ยิ้ม   ไปพลาง พร้อมทั้งยืนมองหน้าผมเพื่อรอคำตอบดังกล่าว  ผมสะดุ้งเฮือกกับคำถาม .....

"น้องครับเดี๋ยวพี่ตั้งสายอูคูเลเล่ให้ใหม่น่ะ สายที่หนึ่งมันเพี้ยนอยู่นิดนึง" ผมรีบเบี่ยงเบนประเด็นด้วยคำถามพร้อมทั้งยื่นมือขออูคูเลเล่จากลูกค้า

"เขาเรียกว่า    size  อะไรพี่" ลูกค้าย้ำถึงคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างจริงจัง

"อืม..... อ่อม .... มันเป็น sizeที่เล็กที่สุดอะครับ คือมันชื่อว่า ....." ผมหยุดชะงักเพราะจำชื่อเรียกไม่ได้จริง ๆ        ชื่อของมันนั้นเป็นศัพท์เฉพาะทางดนตรีเลยครับ    ผมรู้แค่ว่าอูคูเลเล่มีทั้งหมดสามขนาด  คือเล็ก   กลาง  และก็ใหญ่ครับ    

ขนาดใหญ่มีชื่อเรียกว่า  "เทรนเนอร์" 

ส่วนขนาดกลางเรียกว่า"คอนเสิร์ต"

แต่ไม่รู้ว่าขนาดเล็กสุดของอูคูเลเล่นั้นมันชื่ออะไร   ซึ่งมันน่าเจ็บใจตรงที่มันเป็นขนาดที่ผมขายอยู่แต่ดันไม่รู้ชื่อนี่แหละครับ    บักกร๊วก   จริงๆ

   แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าถ้าเราไม่สามารถที่จะตอบคำถามลูกค้าได้เราก็จะขาดความน่าเชื่อถือในการขายครับ   คิดว่าถ้าโทรถามบรรดาพี่ ๆ นักดนตรีรุ่นพี่ก็คงจะไม่ทันการแล้ว   ด้วยความที่กลัวเสียฟอร์มนักดนตรีเก่าครับ   ก็เลยย้อนถามกลับไปเพื่อลองเชิงลูกค้าดู

"อูคูเลเล่จะมีด้วยกันสามขนาดครับ   แตกต่างจากกีตาร์นะครับ"   ผมเฉไฉไปเรื่องกีตาร์ทันที        "ปกติเนี่ย   น้องเล่นกีตาร์เป็นหรือป่าวครับ"    เป็นการถามเพื่อลองเชิงและวัดภูมิความรู้เรื่องดนตรี

"กีตาร์เล่นไม่เป็นครับ   เล่นเป็นแต่อูคูเลเล่ "   อ้าวละมึง    ผมรู้สึกตัวลีบเล็กไปในทันที       ดันมาเจอคนที่มีความรู้เรื่องอูคูเลเล่มากกว่าซะงั้น เกิดผมให้ขอ้มูลเกี่ยวกับอูคูเลเล่มั่วซั่วไปละก็หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลยน่ะเนี่ย  

"ลงเรียนกี่คอร์ดกี่ชั่วโมงแล้วหรอครับ   คุณน้อง"   ผมถาม

"ไปเรียนได้ชั่วโมงเดียวแล้วก็ไม่ไปอีกเลยอ่ะ   เพราะว่าขี้เกียจอะพี่"   คำตอบของน้องเขาทำให้ผมรู้สึกว่า     ตัวผมเองคือผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่ออูคูเลเล่ที่สุดในตลาดนัดแห่งนี้อีกครั้ง   "ตกลงมันชื่อว่าอะไรหรอครับ   ไอเจ้าอูคูเลเล่  size  เล็กสุดเนี่ย"   น้องลูกค้าสุดหล่อกลับมาสู่คำถามมรณะอีกครั้ง

ผมนิ่งไปประมาณสามวินาที   ประมวณผลในสมองแล้วว่า   นี่คือคำตอบที่ผมคิดว่ามันใช่ที่สุดแล้วที่ผมพอจะนึกขึ้นมาได้  และน้องลุกค้าคนนี้คงจะไม่รู้ชื่อจริง ๆ  จึงบอกน้องเขาไปแบบเต็มเสียง  ชัดถ้อย  ชัดคำว่า

"ฟีฟาราโน่  !"

"หา  !  อะไรน่ะพี่  ???"

คิดในใจ     ชิปหายแล้วกูพูดชื่อผิดแน่เลย   สาดเอ้ยยยยย  

"อีกทีได้ไหมพี่   พี่พูดอะไรผมฟังไม่รู้เรื่อง"   ลูกค้าแสดงเจตจำนงค์ว่า   Again   Please .   ตอนนั้นรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงครับ  

"ซูซีราโน่ ! "           - - "

"หา !  อีกทีพี่"

เอาละเว้ยบอกไปสองชื่อ   แม่งไม่ซ้ำกันซักชื่อ   อย่าว่าแต่คนฟังเลยครับที่มึน    คนพูดมึนกว่าอีกครับ

ทันใดนั้นมีเสียงสวรรค์ดังขึ้นมาจาก   Nokia  คู่ใจ    ดูรายชื่อบุคคลที่โทรเข้ามาแล้วเป็นบุคคลที่สวรรค์ส่งมาเพื่อผมครับ    เขาคนนั้นคือ   อาจารย์แซมครับ   เป็นหุ้นส่วนและเป็นมือกีตาร์วงเดียวกับผมรวมทั้งเป็นอาจารย์สอนดนตรีด้วยครับ   โทรมาได้จังหวะมาก ๆ  ผมไม่รอช้าครับ   รีบบอกลูกค้าว่า   ขอสองนาที เดี๋ยวผมขอตัวรับโทรศัพท์ด่วนก่อน       พลางเดินออกมาจากล๊อคที่ขายของให้ไกลพอที่จะให้ลูกค้าไม่ได้ยินเสียงการคุยโทรศัพท์ของผม


"โหลขราบ    พี่แซม"

"อ้าววิช   เป็นไงบ้างขายของที่ตลาดนัดวันแรก   ขายดีป่ะ  "  พี่แซมถาม

"มั่วซั่วดีพี่   แล้วตอนนี้ก็กำลังมั่วได้จังหวะพอดีเลยพี่    พี่ช่วยผมหน่อยดิ  "

"มีไรก็รีบว่ามา"  

"อูคูเลเล่   ขนาดเล็กสุดมันชื่อว่าอะไรแล้วน่ะ"   ผมถาม

" โซปราโน่     ไงไอวิชพี่เคยบอกไปจำไม่ได้หรือไงว่ะ"   พี่แซม  จวก   ผมไปหนึ่งดอก

"โอเคพี่   ขอบใจมากครับ   เดี๋ยวอีกสองนาทีผมโทรกลับน่ะ  ติดลูกค้าอยู่   แค่นี้นะขราบบบ แคร๊ก ตู้ด ๆ ๆ ๆ ๆ "  เสร็จจากการคุยโทรศัพท์ก็รีบเดินไปที่แผงอีกครั้ง

และครั้งที่สามผมก็สามารถบอกชื่อได้ถูกต้องสักที   ซึ่งแม้ว่าลูกค้าจะไม่ได้ซื้ออูคูเลเล่จากผมไป   แต่ผมก็ได้บทเรียนครับ    ว่าเราต้องรู้ในสิ่งที่เราขายให้มากที่สุด    จำได้ควรจะจำให้หมด  แต่ถ้าจำไม่หมด จดดีกว่าจำครับ  



แค่หวนรำลึกวันแรกของการขายเท่านั้นและก็อยากรู้ว่าหลาย ๆ  คนนั้นเคยเป็นเหมือนที่ผมเป็นด้วยหรือป่าว


อย่างน้อยสำหรับวันแรกแม้จะผิดพลาดอะไรไปบ้างก็ถือซะว่า แม้เราจะเดินก้าวล้มไปข้างหน้า ก็ยังดีกว่ายืนตั้งท่าสวยอยู่กับที่ จริงไหมครับ

..........................................................

แนะนำหนังสือเคยอ่าน







ตำราพิชัยสงครามซุนหวู่กับ   36   กลยุทธ์จีนโบราณ

เคยประหลาดใจไหมครับว่าทำอย่างไรให้คนนับแสนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเราสามารถที่จะเดินทางตบเท้ากันอย่างพร้อมเพรียงพร้อมใจกันหมด      หรือว่าทำไมกองทัพที่มีขนาดใหญ่กว่ากลับต้องพ่ายแพ้แก่ปัญญาชนเพียงหยิบมือเดียว   ความลับทั้งหมดอยู่ในหนังสือเล่มนี้แทบทั้งสิ้น    พิชัยสงครามซุนหวู่จัดได้ว่าเป็นต้นตำหรับการสงครามโดยแท้  ที่หน่วยงานแทบจะทั่วทั้งโลกยังต้องบรรจุไว้ในแผนการศึกษาของโรงเรียนสอนทหาร  
          แม้ว่าจะเป็นตำราที่ใช้ในการสงคราม   แต่ด้วยแก่นของเนื้อหานั้นสามารถที่จะเอามาใช้ในการดำเนินธุรกิจได้ลงตัวอย่างน่าประหลาด    ผมอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วรู้สึกทึ่งในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษจีนเป็นอย่างมาก       ขอขอบคุณคุณดาณุภา    ไชยพรธรรมที่เรียบเรียงเนื้อหามาให้พวกเราได้อ่านกันครับ

....................................................................

2 comments:

Unknown said...

ขอบคุณค่ะ เขียนซะสนุกเชียว

Unknown said...

ขอบคุณค่ะ เขียนซะสนุกเชียว