Saturday, December 14, 2013

แนะนำแผงเหล็กขายของตลาดนัด

แผงเหล็กจัดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆในการขายของตลาดนัด ผมคนนึละครับไม่คิดที่จะปูเสื่อขายของอยู่แล้ว

เอาละทีนี้เรามาเจาะลึกเกี่ยวกับอุปกรณ์พวกนี้กันนะครับ


              คานเชื่อมโครงขาหลัก                                                                   เสา
              โครงขาหลัก                                                                     แคร่ไม้


สรุปราคาที่ผมจ่ายไป   ให้เป็นข้อมูลเล็กๆน้อยๆ นะครับ
โครงขาหลัก จำนวน 3 อัน และ คานเชื่อมโครงขาหลัก จำนวน 4  อัน รวมราคา 900 บาท ( วันก่อนบังเอิญเดินไปเจอร้านอื่นขายแค่ 850 บาท รู้สึกจุกนิดๆ) 

เสา 3 อัน และ คานเชื่้อมโครงขาเหล็ก 2 อัน รวมราคา 300 บาท 

แคร่ไม้   200 บาท


เมื่อนำมันมารวมร่างและฟิชเชอร์ริ่งเข้าด้วยกันจะกลายเป้นรูปร่างดังภาพที่เห็น

จากรูปดังกล่าวคือรูปร่างสำเร็จที่ผมเอาชิ้นส่วนมาใช้แค่พอจำเป็นเท่านั้น 


... แต่หากจะให้ผมแนะนำอะไรดีๆเกี่ยวกับเจ้าอุปกรณ์พวกนี้ ขอแนะนำว่า อย่าซื้อมาใช้เลยครับ เพราะราคที่ผมจ่ายไป 1,200 บาท กลับได้แค่โครงเหล็กบางๆ  และรวมไปถึงรอยเชื่อมต่างๆ ก็แสนจะบอบบางเหลือเกิน ผมเคยทำงานช่างมาก่อนเห็นตอนแรกก็ไม่อยากจะซื้อใช้ครับแต่ขี้เกียจไปสั่งทำตามร้านเหล็ก ก็ตัดสินใจซื้อมาใช้ 

ใครที่พอจะมีเวลาและกำลังเงิน หรือหากว่าใครมีพรรคพวกที่ทำงานช่างเหล็กอยู่ ก็ซื้อเหล็กเส้นกลมอย่างหนาให้ช่างไปตัดตามแบบนี้เลยจะดีกว่าครับ  

เอาละว่ะ ทีนี้จะขนไปตลาดนัดยังไงดีละเนี่ย



Monday, December 9, 2013

การขายสินค้าตามสถานการณ์ ... ช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง



การค้าขาย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อะไร แย่แค่ไหน หรือเอื้ออำนวยเพียงใด เราก็ควรจะมองสิ่งรอบข้างและใช้สิ่งเหล่านี้มาเป็นข้อคิดและนำมาปรับใช้กับวิถีชีวิตและธุรกิจของเราเองให้เกิดความได้เปรียบในที่สุด 

แม้ผมจะยังคิดไม่ออกว่าควรจะขายอะไรในตลาดนัดดี แต่ผมก็สามารถที่จะเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลในการคิด และช่วงนี้ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีการชุมนุมประท้วงกันที่ศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี เราจะรีรออะไรกันอยู่ละเพื่อนเอ๋ย ไปซึมซับบรรยากาศและมองหาไอเดียกันเถอะ GO!!!

ทันทีที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาถึงศาลากลาง ก็ต้องปวดหัวกับปัญหาแรก คือเรื่องที่จอดรถที่แน่นขนัดตลอดสองฝั่ง แต่โชคดีที่มอเตอร์ไซค์หาที่จอดง่ายแสนง่าย ถ้าหาริมทางไม่ได้ก็ขึ้นไปจอดบนทางเท้าหน้าวิทยาลัยเทคนิคมันซะเลย ถือว่าใช้สิทธิความเป็นศิษย์เก่า55555

สิ่งที่เห็นตลอดทางเท้าฝั่งศาลากลางคือ พ่อค้า แม่ขายต่างก็นำสินค้ามาตั้งขายกันยาวเหยียดดดดดดดดด นี่แต่เฉพราะข้างหน้านะครับ ถ้าให้ประเมินด้วยสายตาแบบคร่าวๆ ก็จะเป็นพวกสินค้าเกี่ยวกับการชุมนุม เช่น นกหวีด เสื้อ และของกิ๊ฟช็อป ถึงร้อยละ 95% 



รูปนี้เป็นปากทางเข้าศาลากลาง





ส่วนอันนี้คือ ริมรั้วหน้าศาลากลางยาวววววว เหยียด




ภายในศาลากลางก็ยังคงมีสินค้าเกี่ยวกับการชุมนุมเช่นเดียวกับข้างนอก แต่สิ่งที่จะมีเพิ่มขึ้นมาคือ อาหารการกินที่มีน้ำ นม ขนม ขายกัน เพราะผู้ชุมนุมที่มีปริมาณมากขนาดนี้ เมื่อชุมนุมนานๆ ก็ย่อมต้องหิวกันบ้าง โอกาสตรงนี้แหละครับที่ของกินจะขายได้





แต่ถึงกระนั้นก็เหอะ ถ้าใครที่คิดจะขายอาหารคาว เช่น ข้าวแกง  ผมขอแนะนำไว้เลยว่า ท่านที่ขายข้าวแกงหรือ อาหารตามสั่งคงไม่ได้เดินดูให้ทั่วๆ ว่าที่แห่งนี้เค้าก็มีโรงครัวคอยทำอาหารให้แก่ผู้ที่มาชุมนุมได้เข้ามากินกัน ฟรี! ใช้ครับ ฟรี! และก็ ฟรี! คงไม่ต้องถามนะว่าระหว่างข้าวแกงฟรีแถมยังเติมได้ไม่อั้น กับข้าวที่ต้องเสียเงินเราจะเลือกกินอะไร




เนื้อหาการปราศัยส่วนใหญ่เน้นไปที่การโจมตีรัฐบาลเป็นหลักครับ อันนี้ไม่บอกใครๆก็รู้ ไม่งั้นเค้าตั้งเวทีขึ้นมาเพื่ออะไรละ 



กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ผมก็ไม่รีรออะไรตรงหน้าโรงครัวให้เสียน้ำย่อยไปเปล่าๆหรอกครับ จัดการรับประทานอาหารให้อิ่ม ช่วยให้เรามีแรงได้ตั้งมื้อนึง กินไปฟังปราศัยไป มันส์ไปอีกแบบ ในระหว่างที่กำลังกินข้าวราดแกงอย่างเอร็ดอร่อยอยู๋นั้น ก็พลันได้ยินเสียงผู้ชายคนนึง กล่าวอย่างเสียงดังว่า

" พี่น้องคร้าบบบบบบ    เราจะทำการอริยะขัดขืนรัฐบาลกันแบบเต็มที่ " ได้ยินแวบแรกก็รู้สึกเฉยๆ เพราะใครๆ ที่ขึ้นมาบนเวทีเค้าก็ต้องพูดเรื่องนี้กัน

" พรุ่งนี้จะต้องมีการปิดการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาและโรงเรียนต่างๆ ในจังหวัด ถ้ามีโรงเรียนไหนเปิดการเรียนการสอน ผมขอรับผิดชอบเองคร้าบบบพี่น้อง " สิ้นประโยคนี้ ผู้ชุมนุมก็เฮกันอย่างกึกก้องสะเทือนฟ้า อารมณ์และบรรยากาศพุ่งพล่าน ผมแทบจะกลืนข้่าวไม้ลง เพราะอยากเห็นหน้าคนที่สั่งปิดโรงเรียนได้ทั้งจังหวัด ว่าเค้าคนนั้นคือใคร  คงจะตำแหน่งใหญ่น่าดูถึงทำเช่นที่พูดได้

" พอไหมครับพี่น้อง ??????  ถ้ายังไม่พอละก็ ...... ได้ครับ งั้นพรุ่งนี้ขอรวมไปถึงส่วนราชการทุกส่วนทั่วทั้งจังหวัดทั้งในเมืองและต่างอำเภอ ขอให้ปิดและหยุดงาน เราจะไม่ทำงาน ถ้ามีส่วนราชการไหนที่เปิดทำการแม้แต่หน่วยงานเดียว ผมขอเอาหัวของผมเป็นประกันเลยคร้าบบบบบ โผมมมมมมมมม .....  เพ่  น้องงงงงงงงงงงงงงงงงง.......  " ผู้ปราศัยคนดังกล่าวตะเบงเสียงจนลมแทบจะหมดจากร่างกาย ผู้ชุมนุมยิ่งเฮ บรรยากาศคึกคักยิ่งกว่าแฟนบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดโห่ดีใจที่ทีมขึ้นไปคว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปียนลีกมาจูบเสียอีก  

ผมแอบคิดในใจว่า พี่บ่าวนี้ หรอย จริงๆ สั่งปิดหน่วยงานราชการได้อีกต่างหาก

" ยังครับ พี่น้อง ยังมีอีกครับ "  

ผมแทบจะหยุดกินข้าวไปเลยเมื่อรู้ว่ายังมีอีกหรือเนี่ย พี่แกใหญ่คับฟ้าเกินไปแล้วมั้ง

" ธนาคารและสถาบันการเงินหลายๆ แห่ง ขอให้ปิดทำการหนึ่งวันด้วยครับ " 

โอ้วววว ท่านเป็นใครเนี่ย เป็นอะไรกับธนาคารแห่งประเทศไทยหรือป่ว กล้าเกินไปแล้วนะ ผมวางข้าวแกงที่เต็มกล่องโฟมไว้เบื้องหลังและค่อยๆ เดินแหวกฝูงชนพร้อมๆกับเคี้ยวข้าวในปากให้หมดไปแบบช้าๆ พุ่งมองไปบนเวทีแบบไม่ละสายตาราวกับกำลังต้องมนต์สะกด พยายามเบียดเสียดสู่ด้านหน้าเวทีเพื่อไปดูหน้าผู้ชายคนนี้ ที่กำลังปราศัย อยากจะจ้องรูขุมขนแกจริงๆ ว่าอะไรที่ทำให้แกมีอำนาจสั่งการได้ถึงเพียงนี้ 

" พรุ่งนี้ต้องหยุดครับพี่น้อง เพราะพรุ่งนี้คือ วันที่ 10 ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญครับพี่น้อง "

หลังจากที่รู้ว่าโดนหลอกให้ทิ้งข้าวกล่อง  ผมรู้สึกเหมือนโดนกระโดดถีบยอดอก คำว่า "วันรัฐธรรมนูญครับพี่น้อง     วันรัฐธรรมนูญครับพี่น้อง     วันรัฐธรรมนูญครับพี่น้อง      วันรัฐธรรมนูญครับพี่น้อง" ยังคงวนเวียนเป็นเสียง ECHO เบาๆ เบาๆ เบาๆ  ตอนนั้นท่ามกลางฝูงชนที่แออัดในใจผมถวิลหาเพียงอย่างเดียวคือ .......... เอาข้าวกล่องกูคืนมา



โอเค้ !!!  ผมต้องโทษตัวเอง ที่จำไม่ได้เองว่าพรุ่งนี้คือวันรัฐธรรมนูญ แม้จะกินได้ไม่ถึงครึ่งกล่องแต่ก็คงไม่คิดจะกลับไปกินต่อแล้วหละครับ 


หลังจากนั้นไม่นานผู้ปราศัยรายต่อมาก็ขึ้นมาพูดปลุกใจบนเวที ทำเอาผู้ชุมนุมคึกคึกยิ่งกว่ากับคำถามที่ว่า

ผู้ปราศัย " กินข้าวอิ่มไหมครับ พี่น้อง "         
ผู้ชุมนุม  " เอ่มมมมมมมมมม " 

ผู้ปราศัย " พี่น้องครับ เราจะเดินทางไปราชดำเนินด้วยกันใช่ไหม " 
ผู้ชุมนุม  " ช่ายยยยยยย "                             

ผู้ปราศัย " เราจะสามัคคีกันใช่ไหมครับ "  
ผู้ชุมนุม  " ช่ายยยยยยยยย "

ผู้ปราศัย  " เราไม่กลัวรัฐบาลชุดนี้ใช่ไหมครับ "
ผู้ชุมนุม   " ช่ายยยยยยยย "

ผู้ปราศัย  " ศึกครั้งนี้ พร้อมไม่พร้อมครับ"
ผู้ชุมนุม   " พร้อมมมมมมมมมมม" 

ผู้ปราศัย " สู้ไม่สู้ ครับ"
ผู้ชุมนุม  " ซู่วววววววววววววว "

ผู้ปราศัย " ถอยไม่ถอยครับ "
ผู้ชุมนุม " ถอยยยยยยยยยยยย"

ผู้ปราศัย "..... ????????? "
ผู้ชุมนุม  " ..................... "

ผู้ชุมนุม  "เอ่อ...... คือ ..... ผมขอถามอีกทีน่ะ ถอยไม่ถอยคร้าบบบบ พี่น้องงงง "
ผู้ชุมนุม  " ไม่ ถอยยยยยยยยยยยย "

ผู้ปราศัย " ดีมาก นึกว่าไม่ทันได้สู้ที ถอยซะแล้ว 5555555"

ผู้ชุมนุมก็ต่างเฮกัน บรรยากาศเสียงเฮปนเสียงหัวเราะกึกก้องกันทั่่วศาลากลาง



สินค้าส่วนใหญ่ที่ขายดีนั้นจะเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ของธงชาติ เช่นเสื้อ นกหวีด ผ้าพันคอ หมวก เป็นต้น แต่มีอีกธุรกิจหนึ่ง คือ ธุรกิจพิมพ์รูปลงบนกรอบมือถือให้เป็นรูปต่างๆ เช่น ธงชาติ  อันนี้ขายดีมาก ได้ข่าวว่าเครื่องพิมพ์เกือบพัง เพราะทำไม่ทันเลยทีเดียว 55555

อย่าพยายามปิดกั้นตัวเอง ควรจะหาไอเดียจากสถานที่แปลกใหม่ ผมว่าเราน่าาจะได้ไอเดียที่แปลกใหม่ไม่แพ้กัน

Sunday, December 1, 2013

หาข้อมูลใหม่เข้าสู่สมอง ...


วันนี้อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ผมว่าการนอนคิดอยู่บ้านอะไรอยู่คนเดียวในบ้าน คงจะยิ่งทำให้สมองตันเข้าไปอีก เอาแบบนี้ละกัน ลองออกไปเดินเล่นเบาๆ ดูว่าพ่อค้าแม่ค้าเค้านิยมขายอะไรกัน เผื่อจะได้ไอเดียดีๆ มาต่อยอดเป็นธุรกิจของเราเอง และวันนี้คือวันจันทร์ ก็คงต้องเดินทางไปตลาดนัดไดมอนด์ สุราษฎร์ธานี ( ไว้ว่างๆ ค่อยเอาข้อมูลเกี่ยวกับตลาดไดมอนด์มาลงในบล๊อคแบบเต็มๆ ละกันนะครับ


กวาดสายตาไปรอบกับบรรยากาศอึมครึม โซนที่คึกคักที่สุดคือโซนอาหาร .... กำลังคิดว่าจะขายอะไรดีที่คนกินได้ แล้วไม่บูดไม่เน่า ไม่ใช่เนื้อสัตว์

 ขายขนมหลอกเด็กจะดีไหม ???  แต่ขึ้นชื่อว่าหลอกเด็กก็บาปแล้ว ข้อนี้ขอบาย

หรือจะขายน้ำผัก ผลไม้ปั่นดีหนอ ???? เค้ากันเยอะแล้ว ถ่าต้องการสร้างความแตกต่าง เราจะแตกต่างยังไงดี ทำน้ำผัก ผลไม้ที่ไม่ค่อยมีมนุษย์คนไหนทำขายกันจะดีไหม เช่น น้ำทุเรียน น้ำสะตอ น้ำกระเทียม มันเป็นไอเดียที่ดีนะแต่คงต้องพัฒนาอีกหลายขั้นจนกว่าจะมีมนุษย์คนแรกกล้ามาซื้อกินถึงตลาดนัด ข้อนี้ขอบายเช่นกัน

ลูกชิ้นทอด ไส้กรอกทอด เกี๊ยวทอด ???  คนขายกันเยอะแล้ว เพราะมันง่ายที่จะทำ และลงทุนต่ำใครๆก็ขายได้ ฉะนั้น ความแตกต่างจึงอยู่ที่ความสวยงามของแผง และสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ขายกับลูกค้า แม้จะมีแป้งเป็นส่วนประกอบเยอะก็จริง แต่มันดันมีสิ่งมีชีวิตผมอยู่แม้จะสัดส่วนน้อยก็ตาม 




เดินคิดอะไรไปเรื่อยๆ จู่ก็มีความคิดแบบสายฟ้าแล๊ป แวบผ่าเข้ามาในหัว เพราะบังเอิญได้ยินแม่ลูกคู่นึงเดินสวนกับผมพร้อมบทสนทนาประมาณว่า

"แม่ อยากได้ของเล่นชิ้นนี้อ่า " เด็กชายคนนึงงอแงคุณแม่พร้อมทำท่า อริยะขัดขืนในการเดินต่อไปข้างหน้าจนต้องหยุดลงที่แผงๆนึง

" ราคา 29 มันแพงนะชิ้นนี้ เอาชิ้นอื่นที่ราคาถูกๆ สิ " แม่กล่าว




สุดท้ายเกิดอะไรขึ้นรู้ไหมครับ แม่คนนี้ดันซื้อของเล่นชิ้นละ 20 บาทให้ลูกของเธอเล่น แต่ซื้อถึง '3 ชิ้น'  นั่นก็คือ เงิน 60 บาท เพราะคิดว่า ก็แค่ชิ้นละ 20 บาทเอง

ผมจึงได้บทเรียนโดยบังเอิญเกี่ยวกับการตั้งราคา ว่าระดับราคาที่คนทั่วไปสามารถจ่ายโดยไม่คิดอะไรมากมาย คือ 20 บาทนี่เอง
เป็นความบังเอิญที่คุ้มค่าครับ งั้นคงต้องเพิ่มโจทย์ลงไปในแนวทางอีกข้อนึง 

- ราคาต้องต่ำมากพอจนคนทั่วไปสามารถจ่ายได้แบบง่ายๆ โดยระดับที่วางไว้คือ 20 บาท -


เอาละมึง ทีนี้กูจะขายอะไรว่ะ แต่แนวทางเท่าที่มีก็คิดไม่ค่อยจะออกอยู่แล้ว นี่เพิ่มมาอีกข้อนึงก็ยากขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่ได้รีบเร่งอะไรนี่นา คิดไปเรื่อยๆ อาจจะ1 เดือน หรือ 2 เดือน หรือ ครึ่งปี หรือ 1 ปี ก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ผมยังไม่ได้ตกงาน ไร้แรงกดดันในการคิดอยู่แล้ว








Wednesday, November 20, 2013

เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน (-8) ทำเลคือสิ่งสำคัญ

ทำเล
สุราษฎร์ฝนตกทุกวัน มันทำให้ผมคิดอะไรบางอย่างว่า ถ้าฝนมันตกสัก 2 เดือนติดกัน นั่นหมายความว่า โครงการขายของตลาดนัดของผมคงจะต้องชะลอไปตามเวลาดังกล่าวด้วย งั้นลองมองหาตลาดใหญ่ที่พอจะมีล๊อคว่างๆ สักที่ดีกว่า เวลาฝนตกจะได้สามารถขายได้ เพราะมีหลังคาคลุมไว้ 

การเลือกล๊อคในตลาดทั่วไป ผมเคยถามพ่อค้าแม่ค้าว่า ทำเลที่ดีควรจะอยู่ตรงไหน เสียงสาวนใหญ่ตอบว่า "ล๊อคหัวมุม" 



เหตุผลที่ทุกคนบอกก็คือ โอกาสของล๊อคหัวมุม มันดีกว่าล๊อคกลางๆ 
ผมก็เลยสงสัยว่า ถ้าราคาแพงกว่าล๊อคทั่วไป จะยังสนใจที่จะเลือกล๊อคหัวมุมอีกหรือไม่ คำตอบที่ได้คือ ถ้าราคาไม่สูงกว่ามาก ก็ยังเอาล๊อคหัวมุม 

อันนี้เป็นเกร็ดความรู้เล็ก ๆ ที่เอามาฝากกันครับ


Monday, November 18, 2013

เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน (-7) ขายอะไรดี ??? ต้องมีแนวทางก่อน

วผมมานั่งทบทวนบทเรียนเกี่ยวกับการขายของตลาดนัดที่ผ่านๆมา เพื่อที่จะเอาข้อมูลเหล่านี้มากำหนดกรอบว่าเราควรจะขายอะไรดี 
เอิ่ม ...  แบบว่า ผมไม่ค่อยอยากจะขายตามที่ใครๆ เค้าชอบบอกว่า "เฮ้ย ไอนี่ก็น่าขายนะ กำไรงาม" "ไอโน่นกำลังฮิตเลย น่าซื้อมาขายบ้างนะมึง"

เอาละ กรอบของธุรกิจตลาดนัดที่ผมกำลังจะเร่ิมต้นนี้ ผมนั่งคิดและเขียนลงในสมุดเพื่อจะคิดและต่อยอดจนเกิดเป็น"สไตล์ของผมเอง" 


 ท่านอาจจะมองว่าแค่ขายของตลาดนัดทำไมต้องคิดอะไรให้ยุ่งยาก ... เออ มันก็ใช่นะ ไม่ต้องคิดเยอะ งั้นพรุ่งนี้ลุยกันเลย เอาสินค้าอะไรก็ไ้ด้ ที่ซื้อมาถูกๆ แล้วขายให้แพงสักนิดแค่นี้ก็ได้กำไรแล้ว เริ่มจากอะไรดีละ รองเท้ามือสอง .... ขายกาแฟโบราณ ... ข้าวเหนียวหมูย่าง... หรือสินค้ากิ๊ฟชอบชิ้นละ 5 บาท หรือเสื้อผ้านำเข้า ฯลฯ  แต่ !!! พอเริ่มขายไปได้สัก 1 เดือน เริ่มจะมีข้ออ้างและเหตุผลที่จะล้มเลิก เช่น คู่แข่งเยอะว่ะ   ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าร้านเรา  ช่วงนี้หน้ามรสุม ออกไปขายไม่ได้  เงินลงทุนเริ่มบานปลายไปเรื่อยๆ แล้ว เลิกดีกว่า และอีกสารพัดเหตุผลที่ดีที่มาสนับสนุนว่า ทำไมเราควรจะเลิก 

การมีกรอบและแนวทางก่อนที่จะเริ่มธุรกิจ ใช่ครับ ธุรกิจ และผมจะเน้นว่ามันคือ ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมอย่างมาก ไม่ว่ามันจะเริ่มต้นด้วยเงินไม่กี่ร้อยก็ตาม ผมถือว่าผมลงทุนและผมต้องการจะเปลี่ยนชีวิตตัวผมเอง การที่มองว่ามันคือธุรกิจ มันทำให้ผมมีพลังในการคิด  แค่นี่แหละครับ สำหรับเหตุผลที่ว่าทำไมต้องใช้คำว่า ธุรกิจ 

แนวทางที่ผมนั่งคิดอยู่นี้เป็นการอุดช่องโหว่จากบทเรียนที่เคยประสบพบเจอมากับตัวเองและประสบการณ์ที่ได้ฟังมากจากผู้้อื่นให้มากที่สุด มันเปรียบเสมือนการบังคับให้เราเดินในเส้นทางที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มและทำให้เราไม่เดินหลงทางหรือเกิดความโลเล แนวทางที่ผมวางไว้เกี่ยวกับธุรกิจขายของตลาดนัด มีดังนี้

1 ขนย้ายง่าย  มันดีแน่นอนครับ ถ้าขนย้ายง่าย มีแค่มอเตอร์ไซค์ก็สามารถขนย้ายได้เนี่ยจะเป็นการลดต้นทุนด้านค่าน้ำมันรถได้เป็นอย่างดี 



2 เวลาจัดแผงเพื่อขายสินค้าในตลาดนัดอาจจะใช้เวลามากหรือน้อยก็ไม่เป็นไร แต่เวลาเก็บสินค้าต้องสามารถเก็บโดยใช้เวลาให้น้อยที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงเวลาฝนตก สมัยที่ผมเริ่มขายของตลาดนัดในช่วงแรกๆ  ผมสังเกตเห็นแม่ค้าพ่อค้ามืออาชีพสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้แบบปกติหน้าตาเฉยในช่วงเวลาที่ดอกฝนเม็ดแรกสัมผัสกับผิวหนังชั้นนอก พ่อค้าแม่ค้าที่ตั้งขายกลางแจ้งเหล่านี้จะมีระบบรักษาความปลอดภัยของสินค้าที่รวดเร็ว ถ้าท่านนึกไม่ออกให้นึกถึงเจ้ามือวงไพ่ที่ตั้งวงสัก 20 วง ที่เวลาได้ยินว้่า "ตำรวจมา!!! " เค้าทำยังไงครับ ก็จัดการเอาผ้าปูโต๊ะนั่นแหละห่อสำรับไพ่แล้วเก็บอย่างรวดเร็ว  และนี่คือความรู้สึกเดียวกันกับที่ผมเห็นพ่อค้าแม่ค้าทุกคนทำ ซึ่งถ้าเรามีสินค้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง ก็ขอให้หาสินค้าที่ไม่กลัวน้ำและความชื้นมาขายละกัน

3 สามารถประยุกต์และพลิกแพลงตัวสินค้าให้เข้ากับสถานการณ์และเทศกาลในแต่ละช่วงโดยต้นทุนไม่เพ่ิมขึ้นมากนัก จะทำให้สินค้าเราอยู่ในความสนใจของผู้คนได้ตลอด เช่น นาย A เปิดร้านขายเสื้อ แล้วจู่ๆ ก็มีการชุมนุมทาการเมืองกันแถวๆร้านของนาย A เขาจึงฉวยโอกาสสกรีเสื้อยืดสีดำที่พิมพ์คำว่า " ไม่เอา นิรโทษกรรม" สรุปว่าขายดีจนทำแทบไม่ทัน พอผ่านไปอีก สามสัปดาห์ข้าสู่เทศกาลปีใหม่ เขาก็สามารถสกรีนเสื้อให้เข้ากับเทศกาลปีใหม่เพื่อกระตุ้นการขายได้อีก เช่น "สวัสดีปี 2557"  อะไรประมาณนี้แหละ 



4 คู่แข่งลอกเลียนแบบได้ยากเพื่อเป็นการลดรอยรั่วสำคัญที่ว่า "ถ้าคู่แข่งมีเงินเยอะกว่าคุณ เขาก็เหนือกว่าคุณได้" เช่น ร้านขายของชำ หากมีเซเว่นอีเลฟเว่นมาเปิดแข่งกันเมื่อไหร่เป็นต้องเจ๊งทุกราย ฉะนั้น เอกลักษณ์ในธุรกิจต้องมีเพื่อความแตกต่างสินค้าต้องมีความเฉพาะตัวที่คนอื่นเลียนแบบเราได้อยากพอสมควร  ผมจะไม่มองว่าต้องแค่ไม่เหมือนใครเพียงอย่างเดียว แต่ไม่เหมือนแล้วเลียนแบบยากในระดับนึงด้วยนี่สิถือว่าตรงใจผมมากๆ และเปรียบเสมือนเป็นปราการกำแพงชั้นดีไว้ป้องกันไม่ให้คู่แข่งเกิดขึ้นมาอย่างง่ายดายและรวดเร็วอีกด้วย 

5 ต้องมีสัดส่วนกำไรที่สูง เพื่อลดความเสี่ยง

6 ซื้อแล้วต้องหมดไป และก็กลับมาซื้อแบบซ้ำซากได้อีก 

7 สินค้าต้องไม่ใช่ของสดที่เน่าเปื่อย 

8 ต้องไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต  หรือของมึนเมา เช่น เหล้า เบียร์ เนื้อสัตว์  อันนี้เป็นความต้องการส่วนตัวของผมเอง


ขอผมไปนอนคิดก่อนละกันนะครับว่าจะขายอะไรดี เพราะผมเองแม้จะวางแนวทางไว้ แต่ก็ยังคิดไม่ออกเช่นกันว่าสุดท้ายแล้วจะขายอะไร 

...........

พอเข้ามาดูพอร์ทในวันนี้ หัวใจวาบหวิว เพราะตลาดหุ้นร่วงกระฉูด หลุด 1400 ไปเรียบร้อย จากปัญหาทางการเมืองในประเทศไทยนี่เอง  !!! ผมก็แอบใจไม่ดี เข้ามาเล่นหุ้นยังไม่ถึงปีเลย แต่ก็คิดว่าหุ้นที่ถือนั้นเป็นหุ้นที่มีความมั่นคงสูง ก็ปล่อยวางช่างหัวมันละกัน 55555

ดีไม่ดีอาจจะเก็บหุ้นเพิ่มอีก แต่ยืนยันว่า ไม่คัทลอสครับ 


Wednesday, November 13, 2013

เริ่มต้นขายของตลาดนัดกัน (-6) หวนกลับมาสู่วงการตลาดนัดอีกครั้ง

แม้ว่ากลางคืนผมจะเล่นดนตรี ส่วนกลางวันผมจะติดตามและลงทุนในตลาดหุ้น

แต่ว่าตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวผมเองยังไม่ได้ใช้ศักยภาพที่มีอย่างเต็มที่สักเท่าไหร่ กลางคืนเราเป็นลูกจ้างประจำ ส่วนกลางวันก็ตื่นสายๆยิ่งช่วงนี้มีการประท้วงการนิรโทษกรรม  ก็รอดูตลาดหุ้นลุ้นให้มันลงแดงเยอะๆ จะได้ซื้อหุ้นเพิ่ม 5555 

การเทรดหุ้นมันน่าเบื่อมากครับ มันเรียบง่ายเกินไป  ส่วนจะได้กำไรหรือไม่นั้นมันก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้ผมกำลังมองหารายได้เสริมเป็นช่องทางที่ 3 ให้กับตัวเอง แน่นอนครับว่าเฉพาะเล่นดนตรี รายได้ของผมรวมๆแล้วก็ประมาณ 30,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป  มันก็พอจะทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างสบาย แต่ผมมองถึงเรื่องการใช้เวลาในแต่ละวันมากกว่าว่าควรจะใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ทุกวินาทีมากกว่านี้ และแน่นอนว่าตัวเลือกที่ผมจะใช้เป็นช่องทางหารายได้ก็คงต้องเป็น "ตลาดนัด"

ถ้าหลายๆคนเคยอ่านหัวข้อเก่าๆ เกี่ยวกับตลาดนัดของผมก็จะรู้ว่าผมก็เป็นมือใหม่ไร้เดียงสาคนนึง .... แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังไร้เดียงสาอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้ประสบการณ์ที่เคยขายของ นำมาใช้จนเกิดประโยชน์ก็คือ การจับต้นชนปลายขั้นตอนต่างๆ เกี่ยวกับการหาตลาด สถานที่ แหล่งขายสินค้าราคาส่ง และอุปกรณ์ที่จำเป็นในตลาดนัด ซึ่งสามารทำได้อย่างรัดกุม รวดเร็ว และมีรายจ่ายสูญเสียน้อยกว่าหรือแทบจะไม่มีการสูญเสียรายจ่ายตรงนี้เลย เพราะเราสามารถเอาบทเรียนมานั่งวิเคราะห์และแก้ไข พัฒนา ให้มันดีขึ้นได้ 

ถ้าให้ผมทบทวนว่าการขายของตลาดนัดครั้งแรกของผมเกิดจากอะไร บอกได้เลยว่ามันไม่ได้เริ่มที่ตลาดนัดครับ มันเริ่มจากมีผู้ชายอ้วนคนนึงที่เป็นสมาชิกในวงเดียวกับผม นั่งคุยกันเรื่องดนตรี แล้วก็มาออกเรื่องการเล่น อูคูเลเล่ แล้วมาสุดซอยที่โอกาสทางธุรกิจเกี่ยวกับการขายเครื่องดนตรี

"วิช  สนใจจะขายของอะป่าว"  -0-
"โหยพี่แซม ... จะให้ผมขายอะไร ทุกวันนี้เงินยังใช้ไม่พอชนเดือนเลย จะให้ไปลงทุนอะไรได้ " - -
"งั้นเดี๋ยวพี่ลงทุนให้ ส่วนวิชลงแรงละกัน ยกเอาอูคูเลเล่ไปขายตามตลาดนัด ขายได้เท่าไหร่ กำไรหารสอง แฟร์ๆ " -0-
"แล้วทำไมพี่ไม่ขายเองละ กำไรจะได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย" - -
"พี่ไม่มีเวลาวะ .ตอนนี้ก็ขายทางเน็ตอยู่ แต่ตลาดนัดพี่คงไปขายเองไม่ได้ เพราะมีงานสอนเลิกเย็นเกือบทุกวัน เหนื่อยเกิน" -0-
" จัดไป ตามนั้น" - -


นี่แหละครับ คือจุดเริ่มต้นของการเอาอูคูเลเล่ไปขายตามตลาดนัด มีรายได้แบบเป็นกอบเป็นกำ เพราะช่วงนั้นกระแสแทบจะเรียกได้ว่า คลั่งสุดๆ ในหมู่วัยรุ่นสุราษฎร์ธานี  สังเกตได้จากที่ หลายๆคนลงทุนไปเรียนแบบจริงจัง ในขณะที่อีกหลายๆคนเล่นไม่เป็นแต่อยากมีไว้สะพายเป็นเครื่องประดับ และที่สำคัญที่จะไม่ให้ขายดีได้อย่างไรละครับ ในเมื่อผมเป็นมนุษย์คนเดียวที่เอาเครื่องดนตรีไปขายตามตลาดนัดในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เดือนแรกขายไม่ค่อยได้ อันนี้มันเรื่องปกติ เพราะสินค้าราคามันสูง แต่เดื่อนต่อๆมาเท่านั้นแหละครับ ลูกค้าที่เคยเห็นเราขายในตลาดนัด พอรู้ว่าราคาถูกกว่าร้านที่ขายทั่วไป ก็ตามมาซื้อจนสั่งมาขายกันไม่ทัน 

และจะว่าไปสิงที่ยกาที่สุดคือการผ่านช่วงเดือนแรกของการขาย ผมท้อแท้มาก เพราะพ่อค้าแม่ค้าเค้าชอบมาพูดกับผมว่า น่าจะขายไม่ได้หรอก ส่วนเหตุผลที่เค้าคิดว่าขายไม่ได้เพราะว่า "เป็นสินค้าราคาสูงที่สุดที่ขายในตลาดนัด" "ราคาแพงเกิน" "ตลาดนัดต้องขายแต่ของราคาถูก" "ไม่เคยเห็นใครเอาของแบบนี้มาขาย" 

เหตุผลที่ผมรอได้เกือบเดือนเพราะผมทำการบ้านครับ ทุกร้านในจังหวัดนี้ผมสืบราคาหมด แถมยังแอบถามพนักงานขายด้วยว่า เมื่อวานขายดีป่าว วันนี้ขายได้กี่ตัว กระแสแรงแค่ไหน ลายไหนขายดี กระเป๋าแบบไหนวัยรุ่นชอบ บลา ๆ ๆ  ๆ ๆ ไอที่ฮิตติดลมบน สั่งมาแบบเต็มอัตราศึก ในเมื่อทุกวันที่ผมนั่งขายของในตลาดนัด ผู้คนก็ยังคงหาซื้ออูคูเลเล่ตามร้านต่างๆ ที่ไม่ใช่ร้านผม   และเหตุผลเดียวที่เค้าไม่มาซื้ออูคูเลเล่ที่ราคาถูกและคุ้มค่า เพราะว่าเค้าไม่รู้ว่ามันมีอยู่ในตลาดนัดไง ความอดทนรอเวลาที่คนเห็นเรามากพอและเริ่มรู้จักเราจึงเป็นสิิ่งจำเป็น

กลยุทธ์สุดท้ายที่เป็นไพ่เด็ดคือ ขายราคาเท่าร้านทั่วไป แต่เน้นของแถมเช่นกระเป๋า ขาตั้ง หรือพวกอะไรเล็กๆน้อยๆ แถมจูนเสียงให้และเปลี่ยนสายให้อีกต่างหาก  พอมาย้อนคิดดูแล้วมันก็สนุกดีนะ เหมือนรำลึกการออกรบทำสงครามทางธุรกิจยังไงยังงั้น 5555

..................................

จนตอนนี้ที่นั่งเขียนบล๊อคอยู่ก็ยังไม่รู้ว่าจะขายอะไรดี  แต่ผมรู้ว่าจะต้องเริ่มอย่างไรครับ หากผมมานั่งทบทวนอดีตที่เคยเกิดขึ้นจุดเริ่มต้นมันมาจากการนั่งคุยกันกับใครๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาเจอกับคนที่ถูกต้อง คนที่พร้อมจะมอบโอกาสให้คุณได้เติมเต็มในสิ่งที่เค้าทำไม่ได้ ส่วนคุณก็แค่รับมันไว้และเรียนรู้สิ่งใหม่ครับหลังจากนั้นลุย !!!!! 

งั้นตั้งแต่พรุ่งนี้ ผมคงต้อง .......
พูดคุย พูดคุย พูดคุย พูดคุย พูดคุย พูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุยพูดคุย

เดี่ยวโอกาสมันจะมาแบบโปรโมชั่นครับ .... เผลอๆ เราอจจะไม่ต้องออกทุนเองซักบาทเดียว เสียด้วยซ้ำ ถ้าสามารถเติมเต็มและตอบโจทย์สร้างความสมดุลให้กันและกันได้

ขอตัวไปพูดคุยคุยก่อนนะ 

ปล. วิธีนี้อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ทุนหนา แต่มันเหมาะอย่างมากกับคนที่ไม่มีทุนอย่างผม เพราะพาไปติดดอยตลาดหุ้นหมดแล้ว 555



Tuesday, November 12, 2013

ต้องอดทน !!!



มาม่าถ้วยนี้ทำให้ผมย้อนรำลึกไปถึงสมัยที้่ยังเรียนหนังสือ ตอนที่ยังอาศัยอยู่บ้านญาติ จำได้ว่าผมได้เงินค่าขนมเดือนละ 3,000 บาทจากพ่อทุกเดือน และเงินค่าเทอมจะได้รับทุกๆเทอมแยกต่างหาก ตามแต่จำนวนที่ทางสถาบันศึกษาจะเรียกเก็บ 

สมัยมัธยมต้น ป้าผมเคยพาไปรับจ๊อบทำงานเป็นเด็กปั้มน้ำมัน ESSO ที่อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี  หน้าที่คือ บีบหัวจ่าย ขายน้ำมันให้กับลูกค้าที่เข้ามาในปั้ม เข้างาน 17.00-01.00 น. และปิดปั้มนอน และจะเปิดปั้มทำงานอีกทีตอน 04.30-07.00 น. (สมัยนั้นปั้มน้ำมันสามารถเปิดได้ดึกมาก) หลังจากเปลี่ยนกะตอน 07.00 น. ก็เดินทางไปเรียนต่อ  และชีวิตจะเป็นแบบนี้สัปดาห์ละ 3-4 วัน ได้ค่าตัววันละ 100 บาท และหากมารวมกับค่าขนมที่พ่อโอนมาให้เดือนละ 3,000 บาทก็ ถือว่าเยอะมากกกกกกก สำหรับผมในอายุช่วงนั้น


ส่วนการจัดการเงินสดในมือของผมในอายุช่วงนั้นจะบริหารเงินต่อสัปดาห์ กล่าวคือ หากวางแผนการใช้เงินอยู่ที่สัปดาห์ละ 700 บาท ก็จะใช้เงินไม่มีการเกินไปแม้แต่บาทเดียวในทุกๆ สัปดาห์ เช่น ผมใช้เงินมาถึงวันที่ 6 ของเดือน เป็นจำนวน 690 บาท ในวันพรุ่งนี้ ผมต้องใช้เงินเพียง 10 บาทเท่านั้นนี่คือวินัย จึงจะไม่เกินข้อจำกัดที่ว่งแผนไว้  ซึ่ง ณ ตอนนั้นผมจะมีเงินสดเหลือในมืออีก 2,200 บาทก็ตาม การทำแบบนี้จะทำให้ไม่เกิดดินพอกหางหมูทางการใช้เงิน และผลลัพท์ที่ผมได้ก็คือ อาการชักหน้าไม่ถึงหลังในแต่ะเดือนนั้นไม่มีอีกเลย เพราะเรากำจัดมันทุกสัปดาห์ไปแล้วนั่นเองและทางออกสำหรับอาหาร 10 บาท คงต้องยกให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้เลย ผมแค่คิดว่า ผมคงไม่สามารถกินมาม่าติดต่อกัน 4 วันได้ แต่ผมสามารถกินมาม่าสัปดาห์ละ1 วัน จำนวน 4สัปดาห์ได้


พอมาเรียน ปวช. ที่โรงเรียนสุราษฎร์เทคโนโลยีช่างอุตสาหกรรม หรือเรียกสั้นๆ ว่า เทคโน บางกุ้ง  ตัวผมก็ยังเป็นเด็กปั้มอยู่ แต่จะไปขายนำ้มันบ้างก็ตอนที่พนักงานประจำที่ปั้มลาหยุด ผมจึงไม่ได้ขายบ่อยแล้ว ซึ่งหากใช้แค่เงินค่าขนมทางบ้านไม่มีทางพอครับเพราะรายได้ลดลง  เผอิญมีเพื่อนสนิทก็ได้เอ่ยปากชวนให้ไปทำงานช่วยยกเครื่องเสียงเล่นตามงานแต่งงานในโรงแรมต่างๆ เช่น โรงแรมวังใต้ โรงแรมไดมอนด์ ทำให้มีรายได้เพิ่มมาอีกหนึ่งทาง ส่วนรายได้ทางที่สองของผมในสมัยเรียน ปวช. คือ รับจ้างเขียนแบบเครื่องกลให้เพื่อนๆ ขายในราคาแผ่นละ 20 บาท ตอนแรกก็แค่รับงานทำแค่เฉพาะเพื่อนๆ ในห้องเรียนด้วยกัน ทำให้ผมมีเงินสดติดกระเป๋าในทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 5xx บาท ขึ้นไปสำหรับในช่วงสามสัปดาห์แรกของการเปิดเทอม เพื่อนๆในห้องก็เริ่มจะชอบและผูกขาดกับผมทุกครั้งเพราะจ้างผมเขียนแล้วอาจารย์จับไม่ได้ ผมสร้างความต่างด้วยลายเส้น น้ำหนักเส้น ความเข้มดินสอ และระดับความสะอาดของงานเป็นจุดขายให้แต่ละคนไม่มีซ้ำกัน  เกิดเป็นการพูดกันปากต่อปาก จาก ปวช. ช่างยนต์แค่ห้องเดียว ทีนี้ลุกลามไปทั้งแผนกช่างยนต์ (มีทั้งหมด 5 ห้อง)  แต่ละห้องก็จะมีคนที่เอางานมาให้ผมทำไม่ต่ำกว่า 15 งาน เพราะฉะนั้นขั้นต่ำของรายได้แต่ละสัปดาห์อยู่ที่ 1,5xx บาทขึ้นไป ยังไม่พอครับ งานนี้เกิดการข้ามแผนก เพราะมีการค้นพบกันว่า ทุกสายช่างต้องเรียนวิชาเขียนนี้เป็นพื้นฐานเหมือนกันหมดทุกคน  ก็เริ่มมีงานจากแผนกอิเล็กทรอนิกส์ และช่างกลโรงงานมา ...

ผมยังจำได้จนทุกวันนี้เลยครับ ว่าอาจารย์ท่านนั้นที่สอนเขียนแบบชื่อ อาจารย์ คำรณ ฤทธิกัน .... จนเมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงปลายๆภาคเรียน งานก็ยากขึ้นและเวลาก็จำกัด ผมจึงต้องเขียนแบบด้วยความเร็ว แน่นอนว่าทุกงานออกมาก็ต้องเหมือนกันหมดเพื่อให้ทันเวลา ทำให้อาจารย์เริ่มสงสัยว่ามีมือปืนรับจ้างเขียนแบบลายเส้นแบบเดียว น้ำหนักแบบเดียว ต่างแค่ความเข้มดินสอ จนท่านได้ไปเค้นความจริงจากเพื่อนผมที่แผนกช่างกลโรงงาน ผมจึงต้องหยุดและหารายได้จากงานยกเครื่องเสียงเพียงอย่างเดียว



ถัดมาในสมัยเรียนปวส. ที่วิทยลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานีเป็นช่วงอายุของผมที่โชคดีเพราะคุณพ่อเอาโทรศัพท์ที่สามารถถ่ายรูปได้มาให้ใช้ ยี่ห้อ PANASONIC GD88 สีบรอนซ์ (ในตอนนั้นถือว่าเป็นกระแสที่ฮิตมากในหมู่วัยรุ่นเมืองไทย) ประกอบกับมีวิชางานทดลองเครื่องกลที่เราจะต้องทำรายงานขั้นตอนการทดลองในแต่ละสัปดาห์ ผมจึลเกิดไอเดียในการใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปขั้นตอนการทดลองแล้วพิมพ์รูปถ่ายสีลงบนกระดาษ A4 แล้วเอามาขายเพื่อนๆ ในห้องเรียน แผ่นละ 20 เพื่อใช้ประกอบการทำรายงาน ข้อดีคือผมเป็นคนผูกขาดการถ่ายรูป เหตุผลง่ายๆครับ เพราะผมใช้โทรศัพท์ที่ถ่ายรูปได้แต่จะว่าไป เพื่อนๆ หลายคนก็มีโทรศัพท์ที่ถ่ายรูปได้เหมือนกับของผม แต่มีผมคนเดียวที่สามารถเอารูปที่ถ่ายไว้ในโทรศัพท์  พิมพ์ออกมาเป็นสีลงกระดาษ A4 ได้อยู่คนเดียว ฮาไหมละ 55555 ไม่รู้มันยากตรงไหน  แต่ก็มีคนที้่มีโทรศัพท์ถ่ายรูปได้แต่เขาไม่ทำก็เพราะคงคิดว่า "ไหนๆ มึงก็ต้องทำอยู่แล้ว กูรอซื้อของมึงน่าจะง่ายกว่าเยอะ แค่ 20 บาทเอง " กำไรที่เป็นเงินสดในแต่ละสัปดาห์ทำให้ผมสามารถซื้อของกินอร่อยๆ ได้ แต่ถ้าบางสัปดาห์ไม่มีการทดลองและทำรายงาน ผมก็ขายรูปไม่ได้เงินก็น้อยลง  แต่ผมก็ยังคงใช้สูตรการบริหารเงินแบบควบคุมรายสัปดาห์อย่างเคร่งครัด และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็มักจะแวะเวียนมาให้ผมได้ลิ้มลองทุกสัปดาห์แม้ใจจริงจะไม่ค่อยอยากกินสักเท่าไหร่ 

จนกระทั่งได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี โชคดีที่ผมพอจะเล่นดนตรีเป็นอยู่บ้างก็เลยได้มาทำงานประจำ มาเป็นมือเบสของวงจนกระทั่งปัจจุบันนี้ และเจ้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ก็ได้ห่างหายไปจากชีวิตผมนานแสนนานทีเดียวเพราะรายได้ตอนนั้นทำให้ผมมีความมั่นคงทางการเงินสูงในระดับหนึ่งทีเดียว และสามารถส่งตัวเองเรียนจนจบระดับปริญญาตรีได้แบบสบายๆ 

                                                                      ............................
หลังจากนั่งรำลึกความหลังอยู่นาน ก็กดน้ำร้อนลงในถ้วยบะหมี่ด้วยความรู้สึกที่คล้ายๆ กับช่วงชีวิตที่ผ่านมา ... ตอนนี้ผมมีรายได้ 3x,xxx บาทต่อเดือน ถือว่าอยู่ในฐานะระดับปานกลาง สามารถที่จะกินอะไรก็ได้ที่อยากกิน 

แต่บะหมี่ถ้วยนี้มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ผมเคยสัมผัส  เพราะผมเห็นตัวผมเองในอนาคตว่าผมต้องหลุดจากวัฏจักรหาเช้ากินค่ำ หรือหาค่ำกินเช้าและใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ไร้พันธะทางการเงิน ฉะนั้นเงินทุกบาทที่ผมหามาได้ในเวลานี้ ผมพร้อมจะลงทุนแบบหมดหน้าตัก ผมพร้อมจะยอมกินเจ้าสิ่งนี้ทุกวัน ถ้ามันทำให้ฝันผมเป็นจริง สถานการณ์ตอนนี้คือ ประหยัดค่าใช้จ่ายแบบสุดพลัง และมุ่งมั่นให้กับการลงทุน  เป้าหมายคือ PTT. เก็บให้ครบจำนวน 1,000 หุ้น 
 

" และแล้วการจำกัดรายจ่ายรายสัปดาห์เหมือนสมัยเรียนหนังสือ ก็ได้หวนกลับมาหาผมอีกครั้งหนึ่ง "