Wednesday, April 9, 2014

ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง

จากที่ผมสังเกตในตลาดนัดสุราษฎร์ธานี แทบจะทุกที่มีบรรยากาศที่ซบเซามากๆ ดูง่ายๆเลยครับ คนเดินจับจ่ายกันน้อย แถมพ่อค้าแม่ค้าบางคนก็หายหนาหายตาไปไหนก็ไม่รู้ แผงขายของก็โล่ง นี่แหละครับ ซบเซา 

และประกอบกับสุราษฎร์ธานีเริ่มมีฝนตกเสียด้วย นับได้ว่าเป็นสิ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญเลยครับ ฝนตกก็จบเกมส์...จะขายใครละทีนี้



ตอนนี้สมองกำลังประมวลผลว่าผมควรจะนำพาสายไหมที่ขายตามตลาดนัดต่างๆ ไปอยู่ในห้างด้วยเนื่องจากมองเห็นข้อดีต่างๆที่ชัดเจน คือ
1.) ไม่ต้องหวั่นไหวเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศ เพราะฝนตกฟ้าร้องก็ไม่มีผลอยู่แล้ว 
2.) สามารถยกระดับสินค้าของเราให้มีมูลค่าที่สูงขึ้นได้ ... ภาษาบ้านๆ คือ ขายได้แพงกว่าตอนอยู่ตลาดนัดแน่นอน

ตอนนี้ผมเริ่มกำลังทำวิจัยเล็กๆและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเงื่อนไขของห้าง ถ้าดูแล้วไม่เอาเปรียบมากเกินไปผมว่าจะลองดูซักตั้ง 

ไหนๆก็จะเข้าหน้าฝนแล้ว มองห้างใหญ่ๆ ไว้เป็นทางเลือกย่อมไม่เสียหาย

Sunday, April 6, 2014

งานกาชาดและสมโภชศาลหลักเมืองสุราษฎร์ธานี 1/1

งานกาชาดรอบนี้ถ้าเปรียบเทียบกับงนฟูดแฟร์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านไป หากเป็นโซนในเต้นท์งานกาชาดผู้คนส่วนใหญ่ย่อมให้ความสยใจมากอยู่แล้ง เพราะมันคือจุดขายของงานนี้โดยเฉพาะ แต่ถ้าเป็นตามร้านรวงที่ขายของกันภายในงานถือว่าไม่มีความคึกคักเอาเสียเลย จำนวนคนที่เดินไปมานั้นบางตากว่างานฟูดแฟร์มากครับ ไล่มาตั้งแต่หน้าศาลหลักเมืองบริเวณ สภ.อ.สฎ.  พ่อค้าแม่ขายต่างก็ก้มหน้าก้มตาเอานิ้วทิ่มสมาร์ทโฟนกันอย่างเมามันส์มากกว่าที่จะตั้งหน้าตั้งตาขายของเสียอีก เหอ ๆ ๆ ๆ ๆ สงสัยกำลังเล่นคุกกี้รันมั้ง





ถัดมาอีกหน่อยก็จะเป็นจุดสำคัญของงานที่มาการเสี่ยงดวงจับสลากสไตล์งานกาชาด เพียงแค่ลงทุนไม่กี่สิบบาทหรือกี่ร้อยบาทก็มีโอกาสที่จะได้รางวัลติดไม่ติดมือกลับบ้าน ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า ของเบ็ดเตล็ด หรือแม้แต่รถยนตร์ MPV ยอดฮิต คุณตรึมมากครับเพราะพี่ไทยนั้นชอบเสี่ยงดวง
ใกล้ๆ กันนั้นก็มีรำงเวียนครก รอบละ 20 บาท โซนนี้ถูกใจบรรดารุ่นคุณลุงคุณป้าแน่นอนครับ




ทีนี้เรามาดูในส่วนของโซนร้านค้าต่างๆ ที่ในงานนี้มีการจัดบูชแบบติดกันยาวไปตลอดจนแทบจะสุดถนนริมน้ำ ข้อดีที่เห็นชัดเจนคือ ผู้จัดงานได้รับค่าเช่าที่แบบเต็มๆ ครับ รวยกันไปหลังจากจบงานกาชาด แต่ข้อเสียก็ตกอยูกับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าผู้เช่าแผงในส่วนของบบรรยากาศที่ไม่เอื้ออำนวยให้ได้เปรียบในการขาย  เพราะมันดูละลานตาจนตัดสินใจยากที่จะซื้อ  ผมกล้ารับประกันเลยว่าจบงานกาชาดนี้จะได้ยินหลายๆคำจากปากบรรดาพ่อค้าแม่ค้าแน่นอน  เช่น "คนไม่ค่อยซื้อ" .... "งานกาชาดปีนี้เงียบบบบบ" .... "เศรษฐกิจไม่ค่อยดี" ..... "คนคงเบื่อจากงานฟูดแฟร์ พอจัดงานกาชาดต่อคนก็เลยไม่ซื้อ"  หรืออะไรต่างๆ 


ราคาค่าลีอคแบบนี้ในงานกาชาด 2x2 เมตรอยู่ที่ราคา 16,000  บาท เฉลี่ยแล้วก็อยู่ที่ราวๆ 1,600 บาทต่อวัน ผมมองว่าราคานี้แพงมากครับ เพราะผู้จัดงานนั้นไม่มีความเป็นมืออาชีพในการวางผังร้านค้า ทำให้ร้านค้าที่ขายในงานนี้ขายยากกกกก มากกกกก แต่ต้องขายให้ได้เพื่อสู้กับรายจ่ายที่แพงงงงง มากกกกกก  เช่นกัน ถ้าผู้จัดได้มาอ่านบทความนี้ของผม ในรอบหน้าอยากให้ปรับปรุงการวางผังร้านค้าให้เป็นมืออาชีพกว่านนี้สักหน่อย อย่าให้อแอัดเกินไป เพราะเรื่องนี้คือหน้าที่ของท่านเอง ว่างๆ ก็ลองหาข้อมูลจากห้างใหญ่ๆ หรือร้านสะดวกซื้อชื่อดังบ้างก็ดีนะครับ หรือไม่ก็ลองสอบถามพนักงาน CPN ดูว่าการวางผังอย่างไรที่กระตุ้นการจับจ่าย เพราะห้างพวกนี้เวลาจะขยายสาขาแต่ละครั้งเค้าต้องใช้เงินลงทุนเป็นร้อยล้าน ต้องแม่นยำมากอยู่แล้ว น่าจะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์  

ส่วนค่าไฟฟ้าอยู่ที่ดวงละ 20 บาทสำหรับหลอดะเกียบนะครับ (อันนี้สำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่ตั้งแผงริมฟุตบาทนะครับ)
ของผมจะมีหลอดไฟสามดวงและเครื่องทำสายไหมอีกหนึ่งเครื่อง ราคา 100 ถ้วนพอดี



ความเห็นส่วนตัวของผม จะให้น้ำหนักในส่วนของทำเลและบรรยากาศที่ชวนให้จับจ่ายเป็นหลัก  เพราะคนส่วนใหญ่จะจ่ายเงินด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล  
ทำเลที่น่าสนใจสำหรับผม คือจุดที่ต้องมีความได้เปรียบในการมองเห็น เช่น ณ บริเวณตรงนั้นต้องมองเห็นหน้าร้านของเราโดยที่ไม่ต้องพยายามมอง แค่กวาดตาก็ต้องมีความรู้สึกสะดุดว่า "เอ๊ะ อะไรขาวๆ สว่างๆ"  พูดง่ายๆ คือต้องมีความเป็นคอขวดหรือคอคอดทางด้านการมองเห็นที่กินบริเวณกว้าง ต้องโดดเด่นในระยะปานกลางถึงระยะใกล้เพื่อลดความเสี่ยงในการขายให้สำเร็จง่ายยิ่งขึ้น


ในส่วนงานกาชาดนี้ผมก็ยังคงขายในที่ทำเลเดิมกับตอนที่ขายงานฟูดแฟร์ แต่รอบนี้ปัจจัยต่างๆ ไม่เอื้อำนวยให้เกิดคอคอดทางด้านสายตาของลูกค้าเอาเสียเลย ผมขายวันแรกวันเดียว จึงสังเกตเห็นอะไรบางอย่างว่าคน 10 คน เค้าเดินผ่านแผงผมไป แต่ในคนกลุ่มนั้นมีแค่คนเดียวที่มองเห็นแผงของผม ถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอาเสียเลย  เพราะอีก 9 คนเดินภายไปโดยไม่ได้รับรู้และตัดสินใจเลยเสียด้วยซ้ำ นี่เองคือเหตุผลที่ผมขายงานกาชาดเพียงวันเดียว คือ 2 เมษายน หลังจากนั้นนอนตีพุงอยู่ที่บ้านหรือเอาเวลาไปซ้อมดนตรีดีกว่าครับ และงานต่อไปที่ผมมองคือ งานวัดหลวงพ่อพัฒน์ 


ลาก่อนนะงานกาชาด ไว้เจอกันปีหน้านะครับ



Monday, March 24, 2014

งานกาชาด VS งานวัดหลวงพ่อพัฒน์


มุมมองส่วนตัวของผมคิดว่าการที่มีงานใหญ่ระดับจังหวัดถึงสองงาน แม้จะทำให้จังหวัดสุราษฎร์มีบรรยากาศที่คึกคักมากขึ้นก็ตาม แต่อย่ามองข้ามความสมดุลบางอย่างไป สิ่งที่ว่านี้คือ ปริมาณผู้คน 

งานช้างสองงานที่ชนแทบจะประสานงากันนั้น ผมว่ามันน่าจะทำให้เกิดปรากฏการณ์แบ่งแย่งส่วนแบ่งของผู้คนเป็นสองส่วน ผลเสียที่เกิดขึ้นน่าจะตกอยู่กับพ่อค้าแม่ขายเต็มๆ เพราะด้วยปริมาณคนซื้อที่ถูกแบ่งครึ่งในแต่ละวัน ทำให้บรรยากาศภายในแต่ละงานนั้นจำนวนคนขายเริ่มจะแซงจำนวนคนซื้อ และช่วงนี้ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นพ่อค้าแม่ค้าหน้าใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายมากมายรวมถึงตัวผมด้วย  



ข้อมูลเหล่านี้ผมก็เก็บมานั่งใคร่ครวญดู มันทำให้รู้ว่าตอนนี้คนรู้สึกเบื่อกับการเดินช้อปปิ้ง หากพวกเขาจะไปเดินเที่ยวงาน สวนใหญ่จะพุ่งไปที่จุดขายของงานคือ จับสลากกาชาด หรือไม่ก็ทำบุญไหว้พระกันไปเลย  ทีนี้ทำเลที่คนน่าจะพลุกพ่านที่สุดคือ ทำเลที่อยู่ใกล้กับจุดไคลแมกซ์ของงานนั้นๆ  นี่คือบทวิเคราะห์มั่วๆ ของผมนะครับ อย่าเชื่อเสียทีเดียว เดี๋ยวจะเจ๋งไม่เป็นท่า เหอๆๆๆๆ








จากปฏิทินที่เห็น วันที่ที่คาบเกี่ยวกันคือ 6-11 ที่จะทับซ้อนงานทั้งสองงาน แต่โดยความเป็นจริงแล้ว งานหลวงพ่อพัฒน์นั้น เริ่มตั้งแผงขายของกันตั้งแต่วันที่ 1 เสียด้วยซ้ำ เพราะผมได้เดินทางไปลงพื้นที่อย่างละเอียดยิบ ฉะนั้นการตัดสินใจที่ผมจะทำคือ ลองขายงานกาชาดดูสักวันนึงก่อน ถ้าเห็นว่าไปไม่สวยค่อยย้ายด่วนมาขายที่งานหลวงพ่อพัฒน์ 

หากจะให้คะแนนในส่วนนี้ผมให้คะแนนงานวัดที่ดูมีภาษีกว่า เพราะงานบุญนั้น ใครๆก็สามารถจะมาทำบุญ ปิดทองได้ตั้งแต่เช้าจรดมืดค่ำ เรียกว่ามาได้ทั้งวัน แต่ถ้าเป็นงานกาชาดคนจะเริ่มเดินก็ตั้งแต่ช่วง 17.00 เป็นต้นไป 

ถือว่าเป็นบทวิเคราะห์เล็กๆที่ผมหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อพ่อค้าแม่ค้าที่ได้รับข้อมูลจากบทความนี้นะครับ 



Wednesday, February 19, 2014

ตลาดนัดไดมอนด์ สุราษฎร์ธานี 2/2

เอาละครับ หัวข้อที่แล้วคือข้อมูลด้านภูมิศาสตร์และสภาพพื้นผิวโลก น่าจะมีประโยชน์ไม่น้อยนะครับสำหรับมือใหม่ ที่นี้มาลองดูสภาพตลาดนัดที่ถ่ายจริงว่าสินค้าที่ขายส่วนใหญ่คืออะไรกันนะครับ เริ่มจากโซนเสื้อผ้าและเบ็ดเตล็ดกันเลย






80-90% คือเสื้อผ้ามือหนึ่งและมือสอง ส่วนที่เหลือก็จะเป็นเบ็ดเตล็ดอื่นๆ เช่น แว่นตา กระเป๋า น้ำหอม ซึ่งสินค้าเบ็ดเตล็ดที่มีน้อยเจ้านั้นก็ไม่ต้องแข่งขันกันสูงครับและจากการที่ผมเคยแอบสอบถามพูดคุยกันแม่ค้าเหล่านี้ มักจะมีลูกค้าขาประจำอยู่แล้ว เช่น ร้านขายน้ำหอม ร้านแว่นตา 

กลยุทธ์ที่ผมจะแนะนำสำหรับมือใหม่ตลาดนัด คือ เน้นเริ่มที่สินค้าเบ็ดเตล็ดน้อยเจ้านี่แหละครับจะปลอดภัยที่สุดซึ่งเราต้องเริ่มต่อยอดจากเจ้าเก่าที่ขายอยู่ กับคำถามที่ว่า  "หากเราต้องขายสินค้าชนิดนี้ อะไรคือสิ่งที่จะเติมเต็มความต้องการของลูกค้าเพิ่มขึ้นได้อีก" หรือ " จะสามารถพัฒนาบริการให้ดีขึ้นได้อย่างไรโดยไม่มีต้นทุนเพิ่มขึ้น " รับรองว่าสนุกแน่ครับ กับคู่แข่งน้อยราย

ทีนี้มาเข้าสู่ประเด็นของการขายเสื้อผ้ากันต่อ หากใครต้องการจะขายเสื้อผ้า ซึ่งหันไปทางไหนก็มีแต่คู่แข่งเต็มมมมมมไปหมด ผมแนะนำกลยุทธ์แผงหัวมุมอย่างเดียวเลยครับ เพราะในเมื่อมันเยอะจนละลานตาก็คงต้องใช้ทำเลเข้าช่วยซึ่งได้ผลดีแน่นอน ล๊อคหัวมุมจะได้เปรียบตรงที่เป็นตำแหน่งคนสัญจรพลุกพล่าน สามารถมองเห็นง่ายจากทั้งสองทิศทาง แลดูโปร่งโล่งสบายซึ่งความที่เป็นล๊อคหัวมุมทำให้พลางตาลูกค้าให้ล๊อคของเราแลดูกว้างใหญ่เป็นพิเศษ  หรืออาจจะซื้อล๊อคถัดจากหัวมุมมาสักล๊อคสองล๊อคก็ไม่ว่ากันเพราะถือว่ายังอยู่ในทำเลที่สายตาของลูกค้าสามารถกวาดมาถึงอยู่

ค่าล๊อคโซนนี้จะอยู่ที่ราคา 60 บาทต่อล๊อคนะครับ รวมไฟฟ้าเรียบร้อยแล้วด้วย


ที่นี้มาต่อกันด้วยล๊อคขายอาหารกันเลย




จากการประเมินด้วยสายตาชั้นเดียวของผมเอง สามารถแบ่งหมวดอาหารได้เป็น 3 หมวดหยาบๆ คือ อาหารและขนมต่างๆ  เครื่องดื่ม และผลไม้

อาหารและขนมก็มีทั้ง ข้าวเหนียวไก่ทอด บาบีคิว ขนมจีบ โรตีสายไหม ก๋วยเตี๋ยว เครปญี่ปุ่น เฉาก๊วย ซาลาเปาทอด ประเภทยำ ผัดไทไชยา หอยทอด ฯลฯ จิปาถะ ตีเป็นสัดส่วนในโซนอาหารก็จะอยู่ที่ประมาณ 40-50 % ของโซนอาหารเห็นจะได้มั้ง

ส่วนเครื่องดื่มพวกชาเย็น โอเลี้ยง น้ำผลไม้ปั่น น้ำผลไม้ผสมน้ำผึ้ง น้ำเปล่า น้ำอัดลม ผมให้สัดส่วนที่ 10-15 % ของโซนอาหาร

และสุดท้ายผลไม้นานาชนิด ประมาณ 35-50 % ของโซนอาหาร ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและฟ้าฝนด้วย  

หากใครอ่านบทความตลาดนัดไดมอนด์ 1/2 มาก่อนจะรู้ว่าล๊อคขายอาหารตรงโซนสีแดงนั้นคือพื้นที่ที่คนพลุกพล่านมากและโอกาสในการขายสูง ส่วนล๊อคสีเหลืองที่เห็นเป็นติ่งน้อยๆ แยกออกมาคือโซนมรณะ มีล๊อคอาหารมาลงกันกี่เจ้ารับรองว่ามาขายกันได้ไม่เกิน 3 นัด เป็นต้องเจ๊งม้วนเสื่อพับกลับบ้านไปทุกครั้ง คำแนะนำคือ ขายของกินที่คุณถนัดโดยเน้นที่โซนสีแดงเข้าไว้ เพราะโซนสีเหลืองมันโครตเสี่ยง ขายอะไรก็ได้รับรองรอด

ราคาโซนตรงนี้อยู่ที่ 150 บาทต่อล๊อคครับ 

นี่คือคำแนะนำเล็กๆน้อยๆ จากพ่อค้าตลาดนัดครับ หวังว่าข้อมูลเหล่านี้คงจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่คิดจะเริ่มต้นค้าขายนะครับ





Saturday, February 15, 2014

ตลาดนัดไดมอนด์ สุราษฎร์ธานี 1/2

ตลาดนัดไดมอนด์



ชื่อตลาดแห่งนี้กำเนิดมาจากแหล่งที่ตั้งของตลาดที่อยู่ตรงข้ามกับโรงแรมไดมอนด์นั่นเองครับ หากต้องการจะมาขายของตลาดนัดที่นี่ก็จำเป็นที่จะต้องรู้ข้อมูลสักนิดนึงเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งภายในกันหน่อย และที่สำคัญๆก็มีไม่กี่อย่างครับ 



1 สำนักงาน
    การจะมาจองล๊อคขายของตลาดนัดหรือตลาดสดล้วนต้องเข้ามาที่สำนักงานนี้  ภายในจะมีพนักงานสาวสามถึงสี่คนนั่งสวยๆอยู่ภายในสำนักงาน    ผมมีข้อเสนอแนะนิดนึงครับว่าหากต้องการจะมาจองล๊อค ต้องรีบมาให้เช้าและเร็ว โดยเฉพาะวันจันทร์และวันศุกร์ มายืนรอหน้าสำนักงานสักประมาณ 8.00 น. หรือยิ่งเช้าได้ก็ยิ่งดีครับ เพราะล๊อคที่นี้เต็มเร็วมาก ใครๆก็อยากจะมาขาย  หากท่านเข้ามาที่สำนักงานตอนสักประมาณสายๆหน่อยแล้วล๊อคเต็ม สังเกตได้จากป้ายกระดาษหน้าประตูตามในรูปนี้เลย และสาเหตุที่ผมไม่เคยคิดจะมาจองล๊อที่นี่ เพราะผมเล่นดนตรีกลางคืนเลิกดึกครับกว่าจะได้นอนก็ประมาณตี 4 และมักจะตื่นมาจองล๊อคไม่เคยทันเลย ซึ่งป้าย " ล๊อคตลาดนัดวันนี้( สินค้าทุกประเภท) เต็มแล้ว (ไม่เหลือสักล๊อค) " นี้เป็นป้ายที่ผมเห็นจนชินแล้ว.....

สำหรับใครที่อยากจะจองล๊อคประจำ ที่ตลาดนัดไดมอนด์จะมีการจับฉลากเลือกล๊อคกันทุกวันที่ 1 ของเดือนเสมอๆ ช่วงเวลาก็ประมาณ บ่ายแก่ๆ หน่อยครับ ยังไงก็ลองติดจ่อสอบถามเจ้าหน้าี่คนสวยกันได้นะครับ







2 ตลาดสดไดมอนด์
          ตรงตัวตามความหมายครับ ที่นี้จะเป็นลักษณะของส่วนโล่งหลังคาคลุมและมีล๊อคที่ก่อขึ้นมาจากปูน เน้นขายผัก ผลไม้ หมูตาย ไก่ตาย ปลาตายและปลาเป็น เครื่องดื่มเล็กๆ น้อยๆ ข้าวสารอาหารแห้ง สินค้าอุปโภคบริโภคตามเรื่องตามราว



3 ลานจอดรถ / ตลาดนัดไดมอนด์
          นี่คือจุดไคลแมกซ์ของหัวข้อนี้ครับ สำหรับตลาดนัดไดมอนด์ ในวันปกติสถานที่แห่งนี้จะเป็นลานจอดรถยนต์แห้งๆ ธรรมดา แต่เมื่อถึงวันจันทร์และวันศุกร์เมื่อไหร่ รถยนตร์ที่จอดจะถูกกีดกันไม่ให้ผ่านเข้ามาในบริเวณนี้ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่นอนหลับกันเต็มตื่นจากเมื่อคืน ก็ต่างพากันมาตั้งแผงขายของกัน บางคนมาตั้งแต่เที่ยงวันก็มี ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ว่าพี่เค้าจะรีบตั้งไปไหน แดดร้อนเปรี้ยงๆ ลานโล่งๆ แล้วมีแผงขายอาหารอยู่ล๊อคเดียวตั้งแต่บ่าย 2 เนี่ยนะ ..... อย่าไปเข้าใจเขาเลยครับ เพราะเขาอาจจะถือคติที่ว่าเตรียมพร้อมดีมีชัยไปกว่าครึ่งก็ได้ 
         และลานตลาดนัดไดมอนด์ดก็ยังแบ่งย่อยได้เป็น 2 โซนอีกที คือ โซนอาหารและโซนสินค้าอุปโภค




          ล๊อคอาหาร

ในล๊อคอาหารจะมีลักษณะของพื้นที่เป็นรูปตัว L ซึ่งก็สามารถแบ่งย่อยได้เป็น 2 พื้นที่ย่อยๆอีก คือ พื้นที่คนเดินผ่านพลุพล่าน (สีแดง)และพื้นที่คนเดินผ่านน้อย (สีเหลือง)

   นี่คือรูปแบบการเดินจับจ่ายของลูกค้าในตลาดนัด สีแดงคือหนาแน่น สีเหลืองคือเบาบาง




        ล๊อคประจำที่พ่อค้าแม่ค้าต่างซื้อจับจองกันในระบบรายเดือนส่วนใหญ่จะเป็นโซนสีแดงเพราะคนทั่วไปจะนิยมเดินเยอะมว๊ากกกกกกกกก  พฤติกรรมของคนเดินตลาดนัดมักจะเดินวนอยู่ในกรอบสีแดง ส่วนเหตุผลที่โซนสีเหลืองมีคนเดินผ่านน้อยก็เนื่องมาจากที่ว่าเป็นพื้นที่ติ่งเนื้องอกน้อยๆ ที่สามารถยืนกวาดตาดูด้วยตาก็เห็นหมดแล้วว่ามีอะไรขายบ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเดินผ่านไปให้เมื่อยตุ้ม  หากท่านมันใจว่าสิ่งที่ท่านกำลังขายอยู่นั้นสามารถสะกดจิตลูกค้าทั้งหลายให้แย่งกันรุมทึ้ง รุมซื้อได้ละก็ ต้องมีทำเลที่ดีด้วยนะครับ และโซนสีแดงคือสิ่งที่ท่านต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาครอบครอง (รับรอง ขายกันไม่ทัน)




     ล๊อคสินค้าอุปโภค 

    มีหมดทุกอย่างที่ไม่ใช่ของกิน และส่วนใหญ่โซนนี้ถ้าให้ผมประเมินด้วยสายตาดวงน้อยๆของผมเอง จะเป็นล๊อคขายเสื้อผ้าถึง 80% ซึ่งรวมทั้งหมดทั้งเสื้อผ้ามือสองและมือหนึ่ง ... ถือว่าเยอะมากเลยใช่ไหมครับ  และสินค้าประเภทอื่นๆก็เช่น น้ำหอม แผ่นซีดี ของเล่นเคสโทรศัพท์  เครื่องดนตรี การ์ตูนมือสอง

    และเช่นกันครับ ในโซนสินค้าอุปโภคนี้หากใช้ความพลุกพล่านของคนที่เดินไปมาเป็นเกณฑ์ ก็จะแบ่งได้ 2  พื้นที่ย่อยๆ อีกคือ พื้นที่ที่คนเดินกันพลุกพล่าน (สีกรมท่า) และพื้นที่ที่คนเดินน้อย (สีเหลือง) ใครที่คิดจะขายในสิ่งที่แตกต่างอย่าลืมด้วยนะครับ ยึดพื้นที่ที่คนพลุกพล่านเข้าไว้ โอกาสชนะ ย่อมมีสูง






4 ลานจอดรถ


       ถือว่าเป็นรายการเสิรมที่สำคัญครับ เพราะถ้าไม่มีที่จอดรถหรือจอดรถลำบาก ย่อมมีผลต่อการตัดสินใจเดินตลาดไม่มากก็น้อย
       ส่วนพื้นที่นี้ลักษณะจะเป็นลานลูกรังที่มีความพิการสูง คือเป็นหลุมเป็นบ่อ เป็นโคก เป็นเนิน ซึ่งถ้าใครเคยเข้ามาในพื้นี่จอดรถตรงนี้จะรู้ว่ามันยิ่งกว่าที่ผมบรรยาย 



ผมเคยเห็นรถเก๋งใหม่ป้ายเเดงขับเข้ามาจอดในพื้นที่นี้ ผลก็คือ แค่ปากทางเข้าก็เล่นเอาสเกิร์ตข้างๆ ถลอกปอกเปิกไปหมด เมื่อคนขับเริ่มคิดได้ว่ากูไม่น่าเข้ามาเลย ... ก็เลยถอยรถยนต์ออกจากพื้นที่จอดรถ ปลายท่อไอเสียก็ดันขุดดินกลับไปดูเป็นที่ระลึกให้คนที่บ้านดูเสียอีก ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่เหมือนกันครับว่า พนักงานที่นี่วันๆ เป็นแต่เก็บตังค์ค่าล๊อคแพงๆเป็นอย่างเดียว แค่นั้นหรือ ??? แต่ส่วนเรื่องที่ต้องพัฒนาตลาดโดยการสอดส่องและประสานงานกับผู้ที่รับผิดชอบให้ตลาดเกิดการพัฒนาและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นกลับไม่เคยคิดจะทำเลย  .... อืม แต่มันก็เป็นแบบนี้มาหลายเดือนแล้วนะ คงจะทำเป็นอยู่แค่นั้นจริงๆนั่นแหละ


ราคาค่าล๊อคนั้นอยู่ที่ 150 บาทสำหรับโซนอาหาร และ 60 บาทสำหรับโซนเสื้อผ้า ขาดตัว และราคานี้รวมค่าไฟฟ้าแล้วนะครับ พ่อค้าแม่ค้าท่านใดจะเอาหลอดไฟมาติดที่ล๊อคสัก 50 ดวงก็ไม่เป็นไร หรือจะเอาหม้อหุงข้าวมาหุงข้าวกินกัน ราคานี้แหละครับ จัดได้ว่าเป็นราคาที่แพงที่สุดในตลาดนัดสุราษฎร์ธานีตอนนี้เลยทีเดียว แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะขาย



สรุปโดยรวมสำหรับตลาดนัดไดมอนด์ ถือว่าค่อนข้างดีและเป็นที่นิยมทั้งบุคคลทั่วไปและพ่อค้าแม่ขาย แม้ราคาค่าล๊อคจะสูงมากก็ตาม
 





Tuesday, February 11, 2014

ตลาดนัด สุราษฎร์ธานี

เอาละครับที่นี้ก็ได้เวลาที่ทุกท่านรอคอยกันแล้วนะครับ กับรายละเอียดของตลาดนัดในสัปดาห์นึงที่จะวนเวียนกันไปยังที่ใดบริเวณใดกันบ้าง เพื่อให้สอดคล้องกับหัวข้อของบทความผมจะขออรัมบทเป็นรูปภาพแบบคร่าวๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมว่ามีตลาดนัดในพื้นที่ใดกันบ้างนะครับ



คราวนี้เราจะมาเจาะลึกกันทีละตลาดกันต่อเลย จากบทความต่อๆไป ติดตามข้อมูลกันได้นะครับ




Thursday, January 23, 2014

ตรวจสอบคู่แข่งว่าเค้าทำอะไรอยู่

วันนี้หยุดขายหนึ่งวันครับ แ่ไม่ได้หยุดเฉยๆนะ ผมใช้โอกาสนี้ไปสำรวจคู่แข่งว่ามีใครบ้าง ทำอะไรอยู่ที่ไหน ขายยังไง ซึ่งก็ไปเจอที่ตลาดสำเภาทองอยู่เจ้านึงครับ ก็เลยจอดรถอยู่ไกลๆ แล้วนั่งดูอยู่้ห่างๆ อย่างห่วงๆ 




ถ้าเปรียบเทียบข้อเด่นข้อด้อยเท่าที่ผมมองสิ่งที่เขาได้เปรียบคือ 

1 ราคา คู่แข่งขายไม้ละ 15 บาทในขณะที่ผม ขายไม้ละ 20 บาท หากต้องมาตั้งแผงติดกันแล้วละก็ นี่คือข้อแตกต่างที่ลูกค้าเห็นได้ชัดเจน พี่เณรบูน มากที่สุดข้อนึง  ถามว่าเมื่อรู้แบบนี้แล้วควรจะขายลดราคาลงมาหรือเปล่า คำตอบของผมคือ ไม่ครับ ผมจะไม่ขายสายไหมต่ำกว่าไม้ละ 20 บาทอย่างแน่นอน บางคนบอกว่าขายไม้ละ 10 บาทก็ยังมีกำไรอยู่นะ ถ้าคิดแบบนี้เท่ากับคุณฆ่าตัวคุณเองครับเพราะถ้าลดราคาลงมาครึ่งนึงก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะขายดีเพิ่มขึ้นเท่าตัวสักหน่อย และอีกอย่างนึงผมว่าตัวเลข 20 บาทถือเป็นตัวเลขที่ซื้อง่ายขายคล่อง ลูกค้าสามารถจ่ายเงินโดยใช้ความคิดน่้อยกว่าความอยากเมื่อรู้ว่า "มันก็แค่ 20 บาทเองนะ" 


2 ขนาดของไม้่สายไหม  นี่คืออีกข้อนึงที่ผมลังเลว่าจะเปลี่ยนมาใช้อันที่สวยๆ ใหญ่ๆ กว่าเดิมดีไหม แต่คิดๆดูแล้วมันก็ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้เกิดความแตกต่างสักเท่าไหร่ มีไม้สวยแต่สุดท้ายก็เห็นแต่สายไหมอยู่ดี ปั่นกลมๆ เหมือนกันทั่วประเทศ 

นั่นคือ ถ้าผมจะขายสายไหมในราคาที่แพงกว่า ผมต้องยกระดับคุณภาพการขายและรูปแบบการนำเสนอของสายไหมให้คุ้มค่าพอที่ลูกค้าจะยอมจ่ายแพงกว่าอีกแค่ 5 บาทเพื่อซื้อของๆ ผม ... แล้วกูจะทำไงว่ะ แค่สายไหมมันจะพลิกแพลงอะไรได้อีก 


"ก็แค่ขายให้ราคาเท่ากันกับคู่แข่งแล้วปั่นให้เยอะกว่าคู่แข่งแค่นี้ก็พอแล้ว"

หากคิดแบบนี้ ผมไปถามเด็ก ป.4 เอาก็ได้ครับ

ขอไปนอนคิดคืนนึงละกัน









Monday, January 20, 2014

ทริปเล็กๆิเกี่ยวกับการป้องกันหลอดไฟแตกระหว่างขนย้ายไปตลาดนัด

บทความนี้จะพูดถึงอะไรที่ง่ายๆ สั้นๆ เกี่ยวกับการเก็บรักษาหลอดไฟในระหว่างการเดินทางไปขายของตลาดนัดครับ

ปัญหาที่มักเกิดขึ้นในช่วงแรกของการเริ่มต้น ก็คือผมมักจะรวมหลอดไฟทั้งหมดไว้ในกล่องเดียวกัน เวลาขนย้ายไปตามเส้นทางที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ แรงเขย่าจากการเดินทางส่งผลมาถึงหลอดไฟในกล่องของผม ... ใช่ครับ มันแตกไปหนึ่งหลอด และถ้าไม่คิดป้องกันอะไรสักอย่าง รับรองว่าหลอดไฟคงจะแตกหมดในเวลาไม่นานแน่นอน   บังเอิญผมชอบซื้อนมลดราคาตามร้านสะดวกซื้อแล้วเก็บขวดได้ประมาณนึง ก็เลยดัดแปลงขวดนมเหล่านี้โดยตัดหัวขวดออกไปนิดนึง และบากขวดให้หลอดไฟผ่านเข้าไปในขวดได้ แค่นี้ก็ทำให้หลอดไฟรอดพ้นจากแรงสะเทือส อุ่นใจขึ้นเยอะครับ



วิธีนี้สามารถเอาไประยุคกับการใช้งานในแบบต่างๆได้ไม่จำกัดแค่เฉพาะตลาดนัดนะครับ ลองดู

Sunday, January 19, 2014

ประยุกต์และดัดแปลงใช้สิ่งที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลงทุนและจ่ายเงินให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด

การขายของตลาดนัดหรือตลาดไม่นัดก็ตามมันต้องมีกำไรที่คุ้มค่าพอ และต้องสามารถเป็นไปตามแผนการเงินที่ผมวางเอาไว้คือ ต้องคืนทุนหมดภายใน 50 วัน  และสิ่งที่ทำต่อมาคือการแก้ปัญหาหลายๆอย่างโดยที่เราจะต้องไม่ใช้เงิน อิอิ ไม่ได้ตลกครับและไม่ใช่เรื่องตลกด้วย  โจทย์คือ "ไม่ใช้เงิน" จะต้องใช้แต่สิ่งที่มีหรือสิ่งที่ไม่เสียเงินเท่านั้นหรือหากจะเสียเงินต้อง"เสียเงินให้น้อยที่สุด"แต่ต้องได้ผลลัพธ์ที่"คุ้มค่าแบบสุดๆ"   

การแก้ปัญหาอันแรกคือ เรื่องของโต๊ะที่ใช้วางเครื่องสายไหมในตลาดนัด วันแรกๆ ที่ขาย ผมตั้งเครื่องทำสายไหมไว้บนแผงไม้ไผ่ที่วางบนแผงเหล็กอีกทีหนึ่ง ผลก็คือ มันสูงเกินไปที่จะปั่นขาย สาเหตุเพราะว่าลืมคิดถึงตอนที่ต้องขายจริงๆว่าระดับความสูงที่เหมาะสมคือต้องเป็นระดับที่ลูกค้าสามารถมองเห็นกระบวนการทำสายไหมและตื่นตาตื่นใจกับใยสายไหมที่กำลังเกาะไม้จนกระทั่งก้อนโตกลม ซึ่งในรูปนี้คือวันแรกที่ผมไปขาย  เครื่องอยู่ในระดับที่สูงมากกกกกกกกกก 




ขนาดผู้ใหญ่ยังต้องชะเง้อและเขย่งขาเพื่อมอง นับว่าสูงเกินไป โจทย์ข้อแรกคือต้องลดระดับความสูงลงโดยที่เราต้องไม่มีการลงทุนเพิ่ม อืมมมม .... มันเป็นไปได้นะครับ ดวงจันทร์มนุษย์ก็ไปเหยียบมาแล้ว นับประสาอะไรกับปัญหาแค่นี้ ก็จัดการนั่งคิดนอนคิดเอาแผงเหล็กมาประกอบแล้วนั่งดูมันทุกมิติ เอ้ย ... มันก็เป็นแค่โครงเหล็กกลวงๆที่สามารถจะเอาอะไรใส่ไว้ข้างในได้ หรือสามารถเอาไปประกอบครอบล้อมสิ่งใดก็ได้นี่นา  ว่าแล้วก็จัดการวางตัวเครื่องและประกอบโครงเหล็ก ผลลัพธ์จากไอเดียที่ได้ค่อนข้างน่าพอใจ 



และนี่คือสภาพการใช้งานจริงๆ ครับ ไม่ว่าจะเด็กเล็กหรือผู้ใหญ่ก็สามารถมองเห็นกระบวนการทำสายนไหมภายในโคมสแตนเลสได้อย่างชัดเจน เพียงแค่ใช้จุดเด่นของโครงเหล็กที่เป็นโครงและกลวง ก็วางเครื่องทำสายไหมไว้ภายในได้แบบสบายๆ  ส่วนแผงซี่ไม้ไผ่ที่ซื้อมาเมื่อตอนแรกคงต้องเก็บเข้ากรุไปตามระเบียบรอวันหน้าเผื่อจะได้เอามาใช้ประโยชน์อย่างอื่นอีก



อันนี้คือโจทย์ที่ไม่ยากครับ แต่ที่ยากคือ ต้องสามารถขนย้ายอุปกรณ์ทุกอย่างจากบ้านไปยังตลาดนัดโดยใช้มอเตอร์ไซค์คันเดียวนี่คือโจทย์ข้อที่สอง


หลายๆท่านยุและเชียร์ให้ผมซื้อรถพ่วงข้างหรือรถยนต์เพื่อเอาไว้บรรทุกอุปกรณ์ไปตลาดนัดเพราะมันเยอะมาก เครื่องสายไหมก็หนัก อุปกรณ์ต่างๆก็เยอะแยะมากมาย บางคนก็แนะนำว่าขายผ้ามือสองจะดีกว่าไหมเพราะเราสามารถใช้มอเตอร์ไซค์ขนย้ายได้ง่ายกว่า ผมจึงบอกพวกเค้าไปว่าผมจะเป็นคนแรกที่ขายสายไหมโดยใช้แค่มอเตอร์ไซค์แบบไม่ต่อพ่วงข้างให้ดู   ไปดวงจันทร์มนุษย์ก็ทำได้มาแล้ว นี่จะมาจนปัญญากับการขนอุปกรณ์เครื่องทำสายไหมไปตลาดนัดแค่นี้หรือ....

เมื่อตอนเริ่มต้นขายได้สามวันแรกนั้น ผมอาศัยรถยนต์ของพี่ชายในการขนย้ายทุกครั้ง  และก็หยุดขายประมาณครึ่งเดือน เพราะผมเอารถมอเตอร์ไซค์ไปต่อเติมโครงเหล็กด้านหลังเพิ่มเพื่อใช้วางเครื่องทำสายไหมโดยเฉพาะครับ เพราะผมประเมินดูแล้วว่าถ้าเป็นรถมอเตอร์ไซค์ธรรมดาๆ หากต้องขนอุปกรณ์ต่างๆ โดยไม่มีเครื่องทำสายไหมนั้น สามารถขนย้ายได้หมดโดยใช้มอเตอร์ไซค์คันเดียวได้แบบสบายๆ ถ้าต่อเติมก็ต้องต่อเติมความยาวด้านหลังออกไปเพิ่มอีกเป็นพิเศษเพื่อวางเครื่องทำสายไหมโดยเฉพาะ เท่านี้ก็จบ ส่วนราคาค่าต่อเติมนั้นถือว่าไม่แพงครับหากเทียบกับการหลุดข้อจำกัดจากที่ต้องใช้รถพ่วงข้างหรือรถยนต์ขนย้ายให้สามารถใช้มอเตอร์ไซค์เพียงคันเดียวมาขนย้ายอุปกรณ์ต่างๆ ได้แบบสบายๆ 


นี่คือรูปก่อนที่จะดัดแปลงเพิ่มพื้นที่วางเครื่องสายไหมด้านหลัง 


และนี่คือรูปหลังจากต่อเติมโครงเหล็กเพื่อวางสายไหม 





เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกันนะครับ จริงๆ มันมีอะไรจิปาถะอีกเยอะแต่เลืกมาเฉพาะที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านและสามารถประยุกต์เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้แบบจริงๆ  



 

Wednesday, January 15, 2014

ตัดสินใจได้แล้วว่า ผมจะขาย...........

เช้าที่เร่งรีบวันหนึ่ง ผมยืนอยู่หน้าตู้ ATM เพิ่งทำการโอนเงินไปยังเลขบัญชีให้กับบริษัทแห่งหนึ่งเสร็จพอดี เงินที่โอนไป คือเงินที่ผมสั่งซื้อเครื่องทำสายไหมครับ และก็แอบหัวใจรู้สึกกลัวที่จะโดนหลอกมากๆ ครับ ปกติก็ไม่ค่อยจะโอนเงินให้คนที่ไม่รู้จักได้ง่ายๆอยู่แล้ว  

เหตุผลที่เลือกขายสายไหมก็เพราะว่า เป็นสินค้าที่เข้าเงื่อนไข"เกือบ" ทุกอย่างครับ ถ้าอยากจะรู้ว่าเงื่อนไขที่ผมวางไว้นั้นมีีอะไรบ้างก็สามารถคลิกลิงค์นี้ได้เลย http://pongtawit.blogspot.com/2013/11/7.html


ก่อนที่ผมจะสั่งซื้อไอเจ้าเครื่องสายไหม ก็ได้ลองหาข้อมูลเกี่ยวประเภทและชนิด ซึ่งสามารถแบ่งให้เห็นความแตกต่างได้ 2 รูปแบบ คือ
1. เครื่องทำสายไหมแบบใช้แก็ส ประเภทนี้เป็นเครื่องที่ใช้แก็สหุงต้มเป็นเชื้อเพลิงแต่จะว่าไปก็ยังคงต้องใช้ไฟฟ้าเพื่อไปขับมอเตอร์ให้หัวเครื่องสายไหมหมุนอยู่ดี ข้อดีคือสามารถให้ความร้อนได้ดีกว่าเพราะเป็นระบบแก็ส ส่วนข้อเสียคือชิ้นส่วนเยอะเพราะต้องมีตัวเครื่อง ถึังแก้ส
2. เครื่องทำสายไหมแบบใช้ไฟฟ้า เป็นประเภที่ผมสนใจเพราะทั้งตัวมอเตอร์และตัวทำความร้อนล้วนใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งสิ้น แถมกะทัดรัด เหมาะแก่การขนย้าย


ส่วนเจ้าเครื่องนี้คือ เครื่องทำสายไหมแบบใช้ไฟฟ้าครับ สินค้ามาถึงหน้าบ้านปุ๊บ ยกเข้ามาในบ้านปั๊บ ไม่เกินสองนาทีผมจัดการชำแหละเพื่อดูว่าหลักการทำงานและอุปกรณ์ภายในของมัน มีอะไรบ้าง ส่วนเหตุผลที่ผมแกะรื้อเครื่องทำสายไหมป้ายแดงเครื่องนี้มีเหตุผลเดียวครับคือผม  ...กลัว...   และสิ่งที่จะทำลายความกลัวได้แบบสิ้นซากคือ ความรู้ครับ นี่คือหลักการที่ผมใช้มาตลอด ไม่รู้หรือกลัวอะไร  ต้องศึกษาว่าที่เรากลัวอยู่เนี่ยเรากลัวอะไร กลัวว่าปถุ่มแดงๆ สองปุ่มนี้กดผิดปุ่มมันจะพังหรือป่าว กลัวว่ามันจะมีโอกาสระเบิดหรือป่าว กลัวว่าใช้งานไปแล้วเกิดไฟรั่วขึ้นมาจะช๊อตเราตายคาเครื่องทำสายไหมจะทำไง   นี่คือความคิดผมและตอนนี้กำลังหาึคำตอบให้คำถามครับ



พอรื้อออกมาดูมันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษสักเท่าไรเลย กลไกก็มีแค่ มอเตอร์พัดลม ฮีตเตอร์ และเทอร์โมสตัท แคนี้เองครับจะอธิบายให้ฟังคร่าวๆ 

ทันทีที่เปิดสวิตซ์ครื่องปุ๊บ "มอเตอร์"จะหมุนทันที แต่เครื่องจะยังไม่ร้อนจนกระทั่งเราเปิดสวิตซ์ตัวที่สองคือ

สวิตซ์"ฮีตเตอร์" และเทอร์โมสตัทจะคอยควบคุมความร้อนของฮีตเตอร์ไม่ให้ร้อนเกินไป หากอุณหภูมิสูงเกิน ก็จะลดกระแสไฟที่จ่ายไปยังฮีตเตอร์  แต่ถ้าอุณหภูมิต่ำเกินไปก็จะจ่ายไฟเพิ่มไปยังฮีตเตอร์เพื่อรักษาอุณหภูมิให้ร้อนคงที่อยู่เสมอ  

หากยังนึกไม่ออกว่า"เทอร์โมสตัท" สั่งงานและควบคุมฮีตเตอร์ยังไงก็ให้ดูกาน้ำร้อนที่บ้านครับ หากน้ำเย็นมันจะสั่งให้กาน้ำร้อนต้มน้ำให้ร้อนโดยไฟ BOIL จะติดขึ้นมา แต่พอน้ำร้อนแล้วมันจะสั่งให้รักษาอุณหภูมิให้คงที่โดยไฟ WARM จะติดขึ้นมา เป็นต้น

อย่าว่าแต่เครื่องทำสายไหมเลยครับ เครื่องดนตรีผมทุกชิ้น รถมอเตอร์ไซค์ ผมก็ถอดมาหมดแล้ว นับประสาอะไรกับเครื่องทำสายไหม เมื่อรู้แล้วว่าหลักการทำงานคืออะไร ทีนี้ก็เริ่มขั้นตอนต่อมาคือ ซ้อม ซ้อม ซ้อม และก็ซ้อมครับ




Monday, January 13, 2014

ความแตกต่างคือกุญแจสำคัญ

หากไม่รวมเอาธุรกิจมูลค่าเกิน 1,000,000 บาท แล้วละก็ ธุรกิจเล็กในสุราษฎร์ธานีทุกวันนี้ที่ผมเห็นการเจริญเติบโตมากที่สุดคือ ร้านขายเสื้อผ้า และร้านขายกาแฟโดยเฉพาะกาแฟโบราณ 

ความเหมือนย่อมต้องมีราคาครับ  และราคาที่เราต้องจ่ายให้กับการที่ต้องทำอะไรเหมือนๆกับคนอื่นๆ คือก็คือการต้องแข่งขันกับสินค้าแบรนด์เดียวกันในสาขาอื่นๆ หรือสาขาใกล้เคียง เรียกง่ายๆว่า แข่งกันเอง เราอาจจะขายสินค้าที่คนจำนวนมากนิยมก็จริง แต่มีคนขายเหมือนเราสัก 20 สาขา ส่วนแบ่งก็ถูกแบ่งกระจายออกไป ทำให้รายได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนที่เคยได้ตอนในอดีตสักเท่าไหร่

ขอแนะนำมุมมองของผมสักนิดละกันครับ สิ่งที่ทำให้เราลอยตัวอยู่เหนือการแข่งขันได้คือ ความแตกต่าง ผมยินดีที่จะขายสินค้าที่คนมองว่ามันแปลกไม่เหมือนใคร และไม่มีใครขาย หรือขายกันน้อย เพราะอะไร???

 
เพราะถ้าผมขายสินค้าที่ใครๆเขาก็ขายกัน  ผมต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสิ่งที่ผมขาย มันน่าสนใจและไม่เหมือนใครอยู่ดี  

แล้วถ้าเราคิดแบบนี้แต่แรก งั้นก็ขายในสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครขาย หรือหาซื้อยาก มีคนขายกันน้อย เท่านั้นก็จบแล้วครับ


ขอยกตัวอย่างกาเฟโบราณ ฉุย ในสุราษฎร์ธานีตอนนี้ เป็นกาแฟระบบเฟรนไชส์ที่มีไม่รู้กี่สาขา ข้อดีคือ เจ้าของเฟรนไชส์ได้รับอานิสงค์ไปแบบเต็มๆ  ส่วนการแข่งขันก็ตกมาอยู่กับผู้ขายแต่ละสาขาที่นอกจากจะต้องสู้กับคู่แข่งคนละแบรนด์แล้ว ยังต้องมาแข่งกับคู่แข่งแบรนด์เดียวกันอีกด้วย 

เพราะฉะนั้น ผมขอตั้งสมมุติฐานในมุมมองของผมเองให้ดูนะครับ อาจจะมีจำนวนลูกค้ากินกาแฟ 100 คนต่อวัน กระจายกันอุดหนุนร้านกาแฟโบราณที่มีแค่ 2 สาขา ไม่เกี่ยวกับกาแฟเจ้าอื่นนะ เอาแค่กาแฟฉุย ในพื้นที่ระดับตำบล ส่วนแบ่งก็แฟร์ๆครับอยู่ที่ 50 คนต่อสาขา

แต่ขายๆไป เกิดขายดีมากๆ จนกระทั่งร้านเสริมสวยหรืออากง หรือเพื่อนบ้านข้างๆ เมื่อมองเห็นแล้วก็คิดว่่า "กาแฟโบราณมันขายดีจริงๆวะ แถมยังทำไม่ยาก ขายกันก็แทบจะไม่มีเวลานับเงินกันเลย  เราน่าจะซื้อเฟรนไชส์มาขายบ้างดีกว่าจะได้รวยๆ " ทีนี้เกิดการขยายสาขาจาก 2 ในระดับตำบล กลายมาเป็น 20 สาขาในระดับตำบลทันที เพราะของที่รู้ว่าขายดีใครๆก็อยากเปิดขาย ส่วนแบ่งการตลาดหากคิดกันแบบเลขตรงๆ แต่ละสาขาก็จะมียอดขายที่ 5 คนต่อสาขา แต่ในความเป็นจริงก็คือกาแฟโบราณเป็นเครื่องดื่มที่ใครๆก็กินได้ครับ สัดส่วน 5 คนต่อสาขามันน้อยไปแต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ประเด็นคือ กาแฟโบราณขยายสาขาจาก 2 เป็น 20 สาขา นับได้ว่าเป็น 10 เท่าตัว แล้วสามารถทำให้จำนวนคนในพื้นที่หนึ่งๆ หันมากินกาแฟเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าตัวได้อย่างไร อันนี้คือประเด็นคำถามที่ผมคิดเสมอเวลาขับรถผ่านร้านกาแฟต่างๆ ผมเชื่อว่าไม่มีใครกินกาแฟทุกวันและในวันที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ก็ยังมีกาแฟฉุยเปิดสาขาใหม่ในบริเวณใกล้เคียงกับสาขาเดิม นี่ยังไม่ทันนับกาแฟโบราณเจ้าอื่นอีกนะ


หากคนซื้อติดใจแบรนด์ฉุยแล้วละก็ ลูกค้าก็คงจะหาซื้อกาแฟฉุยที่มีสาขาตั้งอยู่ใกล้บ้านจะไม่ดีกว่าหรือ   เช่น ผมอาจจะติดใจรสชาติของกาแฟเย็นฉุยสาขาซอย 50  แต่เมื่อรู้่ว่าผมสามารถหาซื้อกาแฟเย็นฉุยที่ปากซอย 20 ซึ่งห่างจากบ้านผมแค่ไม่กี่ก้าว คิดว่าผมจะซื้อกาแฟเย็นร้านไหนละครับ 
หรืออาจะเดินทางไปที่ไหนสักที่นึงแล้วผ่านร้านกาแฟ เกิดแฟนของผมเผอิญอยากกินกาแฟฉุย แต่บอกให้ผมจอดรถเพื่อหยุดซื้อไม่ทัน ผมก็คงจะบอกแฟนผมไปว่า "ไม่เป็นไรหรอกตัวเอง เพราะถัดไปอีกซอยนึงก็มีขายเหมือนกัน" 



อันนี้คือความเห็นส่วนตัวผมนะครับ ขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่าผมอาจจะไม่รู้ข้อมูลเชิงลึกสักเท่าไหร่ ทุกอย่างวิเคราะห์ผ่านสายตาและวิจารณญาณของผมแทบทั้งสิ้นครับ
 

หากเราริเริ่มหรือหาความต่างมานำเสนอ ไม่ต้องพิสดารมากหรอกครับ แต่ให้มันดูยากๆแค่พอให้ไม่เกิดคู่แข่งขึ้นมาแบบง่ายเกินไปก็พอ และให้มีจุดเด่นเล็กๆ ไว้ยืนในใจลูกค้า ก็พอแล้วครับ และยิ่งตลาดนัดที่เปรียบเสมือนเวทีเล็กๆ ที่เราสามารถสังเกตให้ทั่วถึงได้แบบง่ายดายว่าอะไรคือสิ่งที่ขาด หรือยังไม่มีใครนำเสนอ นั่นอาจจะเป็นโอกาสที่รอคุณอยู่ก็เป็นได้นะครับ 
 
" เพราะความแตกต่างคือกุญแจสำคัญ (กว่าสินค้า) "